This is Islam

5/29/2553

จดหมายจากมุสลิมีนคนหนึ่ง...ถึงมุสลิมะฮฺที่มีรูปตัวเองอยู่ในอินเตอร์เน็ต



อัสลามุอะลัยกุมฯ พี่สาว-น้องสาวร่วมสายเชือกอิสลามของผม

                ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพวกคุณ เพราะมองไม่เห็นช่องทางอื่นใดอีกแล้วที่จะเล่าเรื่องที่ผมพบเจอมาด้วยตัวเองให้พวกคุณฟัง   ผมถือว่ามันเป็นอะมานะฮฺเหนือตัวของผมเองที่จะต้องบอกกล่าวให้พี่น้องมุสลิมะฮฺของผม โดยเฉพาะคนที่เอารูปภาพของตนเอง หรือพี่น้องมุสลิมะฮฺของตนมาลงไว้ในอินเตอร์เน็ตได้รับรู้ และตระหนักถึงหายนะอันใหญ่หลวงของการกระทำนี้

            ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่มุสลิมที่ดีนัก ผมรู้ตัวดี แต่อินชาอัลลอฮฺ ผมกำลังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น(ซึ่งหนึ่งในจุดเปลี่ยนของผมก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับพวกคุณ...พี่น้องมุสลิมะฮฺของผม)
ก่อนหน้านี้ผมเป็นหนึ่งในเยาวชนมุสลิมจำนวนมากที่เผาผลาญเวลาว่างหมดไป ณ หน้าจอคอมฯ  ผมเล่นเกมเป็นหลัก และเข้าโปรแกรมแชตต่าง ๆ เป็นรอง  พักหลัง ๆ ถึงเริ่มหมดเวลาไปกับการสร้างบล็อก ชมเสปซ โดยเฉพาะหลังจากที่โปรแกรมHi5เกิดบูมขึ้นมา ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่สนุกสนานเหลือเกินกับการเที่ยวทักทายคนโน้นคนนี้ และอัพเดตรูปภาพของตัวเองเพื่อรอให้คนนี้คนโน้นเข้ามาทักทาย
                แน่นอนว่าในบรรดาโปรแกรมที่เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กันผ่านอินเตอร์เน็ตได้เหล่านี้ มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของผมหลายคนทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จักตัวจริงของพวกเธอแวะเวียนกันมาสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ  ผมลืมบอกไปว่าตอนนี้ผมเรียนอยู่ระดับมหา'ลัย แม้จะเรียนทางสามัญแต่ก่อนหน้านี้ผมเคยเรียนฟัรฎูอีนจบชั้นสูงสุดมาแล้ว ดังนั้นผมจึงพอจะมีความรู้ทางศาสนาอยู่บ้าง ขอบเขตระหว่างชาย-หญิงในอิสลามผมก็รู้ดีแม้จะรักษาไว้ไม่ค่อยได้ก็ตาม(อัซตัฆฟิรุลลอฮฺ) ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกไม่พอใจเป็นการส่วนตัวกับมุสลิมะฮฺที่เอารูปเปิดเผยเอาเราะฮฺของตัวเองมาลง  อาจเป็นเพราะผมมีน้องสาวด้วยล่ะมั้ง  ผมรู้สึกว่าถ้าน้องสาวผมทำอะไรอย่างนี้ ผมจะต้องยอมไม่ได้แน่ ๆ ...มันเป็นการทำให้ตัวเองดูไร้ค่าเกินไป  แต่สำหรับมุสลิมะฮฺที่คลุมศีรษะเรียบร้อย ตอนนั้นผมคิดว่าก็โอเคนะ เอ้อ ยอมรับก็ได้ ว่าผมชอบชมคอลเลกชั่นของพวกเธอ ยังแวะแซวอยู่บ่อย ๆ ด้วยซ้ำ ก็พวกเธอนำเสนอตัวเองซะขนาดนั้น..ผมก็ผู้ชายน่ะ อีมานก็ไม่ได้จะสูงอะไร จะอดใจไม่มองยังไงไหว(อัซตัฆฟิรุลลอฮฺ)

                จนวันหนึ่ง  ผมเข้าไปร้านเกมหน้ามหา'ลัยเหมือนปกติ และก็เที่ยวชมคอลเลกชั่นภาพของคนโน้นคนนี้เหมือนเช่นเคย  จนกระทั่งรู้สึกว่าได้ยินคำว่า 'สาวมุสลิม' 'โพกผ้า' หรือคำอะไรทำนองนี้อยู่สองสามครั้งจากคนที่ใช้คอมถัดไปประมาณ 2 เครื่อง หันไปดูเห็นเป็นผู้ชายสามคนที่ใช้คอมเรียงกัน เลื่อนเก้าอี้มานั่งรวมกันที่คอมเครื่องเดียว ผมทำทีเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วแอบชำเลืองมองคอมที่พวกเขารุมกันดูอยู่...รู้สึกเหมือนเลือดวิ่งไปทั้งตัว เมื่อเห็นเป็นHi5ของมุสลิมะฮฺคนหนึ่งในชมรมมุสลิมของผมเอง
                ผมเดินกลับมานั่งที่ตัวเอง เปิดหาHi5 ของเธอคนนั้น แล้วก็เจอ...เธอไม่ได้ถอดฮิญาบนะ ทุกภาพของเธอมีฮิญาบคลุม  แต่เธอก็แสดงท่าทางอย่างรีแล็กซ์เต็มที่ ขณะดูภาพเธอผมพยายามเงี่ยหูฟังผู้ชายกลุ่มนั้นไปด้วย พวกมัน(ขอใช้คำนี้)วิพากษ์วิจารณ์แต่ละรูปอย่างคึกคะนอง ถ้าผมจับใจความไม่ผิด...พวกมันตามลิ้งค์มาเจอHi5ของเธอโดยบังเอิญ และจำได้ว่าเป็นผู้หญิงร่วมมหาลัยที่มันไม่เคยมีโอกาสได้มองเห็นบุคลิกอื่นๆของเธอ ภาพต่าง ๆ ที่เห็นจึงเป็นที่น่าสนใจ
ผมพยายามเปิดหารูปให้ตรงกับคำอธิบายแว่ว ๆ แล้วดูไปพร้อม ๆ กับพวกมัน ...จนกระทั่งถึงภาพหนึ่งที่เธอใส่ชุดลำลอง และลมพัดแรง...ผ้าที่โบกพลิ้วทำให้เห็นสัดส่วนของเธออย่างชัดเจน และพวกมัน...อัซตัฆฟิรุลลอฮฺ พวกมันวิจารณ์สัดส่วนของเธอด้วยคำพูดที่...ที่มนุษย์ที่มีการศึกษาไม่น่าจะพูด ผมไม่กล้าบอกพวกคุณ จะเคยเลวแค่ไหนผมก็พูดคำแบบนั้นไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าคนที่ถูกพูดถึงเป็นน้องสาวผม พวกมันต้องถูกชกปาก!
                เสียงหัวเราะของพวกมันทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา...แล้วเธอคนนั้นไม่ใช่น้องสาวร่วมสายเชือกแห่งอิสลามของผมหรือไง  ทำไมผมถึงยอมให้เธอถูกทำลายเกียรติได้ถึงขนาดนั้น "เธอทำลายเกียรติของตัวเธอเองต่างหาก"ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองพ้นผิด แต่ท้ายสุดจิตใต้สำนึกผมก็บอกตัวเองว่า...ผมไม่ใช่มุสลิมีนที่เข้มแข็งพอจะปกป้องเกียรติของพี่น้องมุสลิมะฮฺของผมเองได้...ผมจากร้านเกมมาในวันนั้นด้วยความอ่อนแรง และยังไม่ได้กลับไปอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

                เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตผมเลยทีเดียว  ผมรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง และความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกำจัดมัน ผมหันมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง และตัดสินใจเขียนจดหมายไปเตือนเพื่อนมุสลิมะฮฺคนนั้น ไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อผมมั้ย? แต่ผมถือเป็นหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องบอกเธอ และพี่น้องมุสลิมะฮฺคนอื่น ๆ ของผมด้วย...นั่นคือเหตุผลที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงพวกคุณ
                เชื่อผมเถอะ...พี่น้องมุสลิมะฮฺของผม  ผมเป็นผู้ชาย ผมรู้ดีว่าในขณะที่พวกคุณแอบรู้สึกดีกับคำชม คำแซวของพวกผู้ชายที่ทิ้งไว้ให้กับรูปของพวกคุณตามอินเตอร์เน็ต  พวกผู้ชายเขาคิดอะไรไปไกลแค่ไหน
เชื่อผมเถอะว่า... "มุสลิมะฮฺ" คือผู้หญิงประเภทเดียวที่ยังเหลือเกียรติให้ผู้ชายต้องเกรงใจ ดังนั้นอย่าทำลายเกียรติของพวกคุณเอง  โปรดรู้เถอะว่าสำหรับมุสลิมีนที่ยังมีสติดีนั้น หากเขาจะต้องเลือกใครสักคนเข้ามาเป็นแม่ของลูกเขา   คนที่ถูกเลือกจะต้องไม่ใช่พวกคุณ...ผู้หญิงที่ทำให้ตัวเองเป็นของสาธารณะ!

 ด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง
พี่ชาย(ร่วมสายเชือกอิสลาม)ของคุณ




From : Fwd mail

read more...

วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ

วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»
ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)

- สัญญาณวันกิยามะฮฺ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่

- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ
แบ่งออกเป็นสามประเภท
1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ
จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »
ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)

2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว
จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า
«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »
ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)

3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก
สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ
จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)

1. การปรากฏตัวของดัจญาล
ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด
จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : «هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»
ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)

- ฟิตนะฮฺของดัจญาล
การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์

- คุณลักษณะของดัจญาล
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ»
ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)
- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว
จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า
« ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً»
ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)
- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้
จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ»
ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)
จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า
«وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصى»ْ
ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)

- สาวกของดัจญาล
สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ»
ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)

- การป้องการภัยจากดัจญาล
ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ
«مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ»
ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”
وفي لفظ : «فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ»
อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม

2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม
หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน
จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا»، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ «وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا» (النساء/159)
ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..
«وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا»
ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)
(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)

3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์
ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย

1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
«حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ»
ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)

2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า
«إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ»
ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)
หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย

4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ
การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น

7. ควันไฟ
«فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ»
ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ»
ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)

8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้
«يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ»
ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)
จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า
«إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً»
ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)

9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)
การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
«وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ»
ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)
จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ»
ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)

10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์
ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม
ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا»
ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)
สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ
จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า
«أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ»
ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)

สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้

1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً»
ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)

2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)

3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)

Source : Fwd mail
read more...

อีหม่านอ่อน : โรคระบาดอันดับหนึ่ง

อีหม่านอ่อน : โรคระบาดอันดับหนึ่ง

สมรภูมิที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่ใช่สมรภูมิที่ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกัน แต่เป็นการรบกับอารมณ์ฝ่ายต่ำของเขาเองหรือที่รู้จักกันโดยมุสลิมทั่วไปว่า "ฮาวา นัฟซู" ประกอบไปด้วยความปรารถนา กิเลส ตัณหาต่างๆ การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญใหญ่หลวง เพราะต้องเดิมพันกันด้วยสถานะชีวิตของคนๆนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมีผู้เรียกสมรภูมิครั้งนี้ว่า "ญิฮาด อักบัร" หรือญิฮาดใหญ่
ญิฮาด อักบัร เป็นการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นที่ซ่อนอยู่ภายในตัวมนุษย์เอง ด้วยลักษณะของศัตรูที่ซ่อนเร้นและอยู่ใกล้ชิดอย่างที่สุด เป็นผลให้การต่อสู้มักจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของมนุษย์
ความเข้าใจเบื้องต้นต่อกระบวนการต่อสู้กับ "ฮาวา นัฟซู" ในอิสลามก็คือ มันไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆให้หมดไป แต่ต้องการเข้าไปควมคุมมันไว้และสั่งการมันได้ จึงไม่แปลกที่กระบวนการต่อสู้ไม่ได้มุ่งไปที่ "การทำลาย" แต่มุ่งไปที่ "การสยบและควบคุม"

เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะจัดการตัวตนภายในก็คือ "หัวใจ" เพราะหัวใจคือ "ศูนย์รวม" ในการกำหนดทิศทาง เจตนารมณ์ต่างๆ หัวใจในที่นี้ไม่ใช่หัวใจที่เรารู้จักกันทางกายภาพ แต่มันหมายถึงหน่วยหลักในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้น หัวใจจำเป็นต้องได้รับ "พลัง" ที่อัดฉีดเข้าไปภายใน นั่นคือพลังที่เราเรียกว่า "อีหม่าน" หรือ "ศรัทธา"
อีหม่านจึงนับว่ามีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างหัวใจให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้หัวใจเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมตัวตนภายในได้ อีหม่านที่มีอยู่เพียงในระดับความคิดนั้น ไม่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนๆหนึ่งได้ อีหม่านจะต้องซึมซับเข้าสู่หัวใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่อีหม่านไม่ผ่านเข้าไปสู่หัวใจก็จะเกิดภาวะ "อีหม่านอ่อน" ขึ้น หรือเราจะเรียกได้ว่าเป็นโรคอีหม่านอ่อนหรือ โรคหัวใจแข็งกระด้าง

ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((إنَّ اْلإِيْمَانَ لَيَخْلُقُ فِيْ جَوْفِ أَحَدِكُمْ كَمَا يَخْلُقُ الْثَوْبُ فَأَسْأَلُوْا اللهَ أَنْ يُجَدِّدَ اْلإِيْمَانَ فِيْ قُلُوْبِكُمْ))
แท้จริงอีหม่านในหัวใจของพวกท่านคนหนึ่งคนใดจะทรุดโทรม เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่จนเสื่อมสภาพ ดังนั้น พวกท่านจงขอต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พระองค์ทำให้อีหม่านมีสภาพใหม่อยู่ในหัวใจของพวกท่าน [1]

((مَا مِنَ الْقُلُوْبِ قَلْبٌ إِلاَّ وَلَهُ سَحَابَةٌ كَسَحَابِةِ الْقَمَرِ ، بَيْنَا الْقَمَرُ مُضِيءٌ إِذْ عَلَتْهُ سَحَابَةٌ فَأَظْلَمَ ، إِذْ تَجَلَّتْ عَنْهُ فَأَضَا))
ไม่มีหัวใจดวงใด เว้นเสียแต่จะมีเมฆ(ที่จะมาบดบังมัน) เช่นเดียวกับเมฆ(ที่บดบัง)ดวงจันทร์ ขณะที่มันส่องแสงนั้น เมื่อมีเมฆมาบดบังมันๆก็จะมืดมิด เมื่อเมฆจากไป มันก็จะส่องสว่างอีกครา [2]
หลักการพื้นฐานที่สำคัญในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับอีหม่านอ่อนและกรอบความคิดในการบำบัดมันคือต้องรู้ว่าอีหม่าน(ความศรัทธา)ในทัศนะของอิสลามนั้นสามารถ "เพิ่ม" หรือ "ลด" ได้ สิ่งนี้เป็นหลักการมูลฐานในหลักยึดมั่นของ "อะหฺลุซ ซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ" อันเป็นกระแสหลักของประชาชาติอิสลามส่วนใหญ่ที่ยอมรับกัน

อะหฺลุซ ซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ นั้นถือว่าอีหม่านคือสิ่งที่กล่าวออกมาด้วยวาจา ยึดมั่นด้วยหัวใจ และมีการกระทำผ่านหลักปฏิบัติอิสลามต่างๆ อีหม่านสามารถ "เพิ่ม" ได้ด้วยการฏออะฮฺ(เชื่อฟังปฏิบัติตามหลักการอิสลาม)และ "ลด" ลงได้จากการฝ่าฝืน(หลักการอิสลาม) ดังมีหลักฐานที่แสดงไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในอัล กุรอานไว้หลายที่ ดังตัวอย่างเช่น

((لِيَزْدَادُوا إِيمَانًا مَعَ إِيمَانِهِمْ))
เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธาให้กับการศรัทธาของพวกเขา[3]

มีข้อคิดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้จากคำกล่าวของชาวสลัฟบางคนที่ว่า "ส่วนหนึ่งจากความเข้าใจในศาสนาของบ่าวคนหนึ่ง(ก็คือ) การให้ความสนใจต่ออีหม่านว่ามันลดไปได้อย่างไร? และส่วนหนึ่งจากความเข้าใจในศาสนาของบ่าวคนหนึ่ง (ก็คือ) การที่เขารู้ว่าตอนนี้มันเพิ่มหรือลด?ส่วนหนึ่งจากความเข้าใจของบ่าวคนหนึ่ง(ก็คือ) การรู้ถึงการล่อลวงของชัยฏอนเมื่อมันมายังเขา"

ต่อไปเราจะมาศึกษาอาการ สาเหตุ และนำไปสู่การบำบัดรักษาจนหายขาด อินชาอัลลอฮฺ

1. วิเคราะห์อาการอีหม่านอ่อน
อาการอีหม่านปรากฏทั้งภายในและภายนอก ปรากฏทั้งส่วนบุคคลและส่งผลร้ายต่อสังคม ผลกระทบของอีหม่านอ่อนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้าน(พร้อมตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้

ด้านที่หนึ่ง : วิเคราะห์อาการจากพฤติกรรมทั่วไป
1. กระทำบาปและสิ่งต้องห้ามต่างๆ
2.ทำอิบาดะฮฺอย่างลวกๆ
3. เกียจคร้านในการทำความดีทั้งหลาย
4. มองไม่เห็นค่าของความดีเล็กๆน้อยๆ และไม่เห็นอันตรายของความผิดเล็กน้อย
5. เอาแต่พูด แต่ไม่ค่อยกระทำ

ด้านที่สอง : วิเคราะห์อาการจากความรู้สึกภายใน
6. ยึดความรู้สึกตนเป็นใหญ่
7.หัวใจแข็งกระด้าง
8. อ่านอัล กุรอานอย่างไร้ความรู้สึก
9. รำลึกถึงอัลลอฮฺ แต่รู้สึกเฉย ๆ
10. คับแค้นใจ อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้า
11. ไม่รู้สึกโกรธ เมื่อมีการละเมิดในสิ่งที่อัลลอฮฺห้าม
12. กลัวทุกข์ภัยและปัญหาต่างๆที่ต้องประสบ

ด้านที่สาม: วิเคราะห์อาการจากความกระหายใคร่อยากต่าง ๆ
13. รักในชื่อเสียงและความโด่งดัง ตัวอย่างเช่น
13.1 กระหายตำแหน่งผู้นำ แข่งขันกันแสวงหาอำนาจ
13.2 เผด็จการในวงสนทนา คือชอบพูดข้างเดียว ไม่ชอบฟังคนอื่นพูด
13.3 ชอบให้ผู้คนยกย่อง ไม่พอใจหากไม่ได้รับคำเยินยอ
14. ตระหนี่ถี่เหนียว และมีความโลภ
15.หมกมุ่นกับโลกนี้
16. ใช้ชีวิตอย่างสำราญ

ด้านที่สี่: วิเคราะห์อาการจากความสัมพันธ์ทางสังคม
17. ไม่สนใจในกิจการของมุสลิม
18. มีความสุขกับความทุกข์ของพี่น้อง
19. ชอบทะเลาะถกเถียงกัน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาที่ไม่สำคัญ
20. ชอบแบ่งเป็นฝักฝ่าย จนเกิดความแตกแยกระหว่างพี่น้องมุสลิม
21. ขาดสำนึกในการทำงานอิสลาม
เราสังเกตจากทั้ง 4 ด้าน จะพบว่าอีหม่านอ่อนไม่ได้เป็นเรื่อง "อ่อนๆ" แต่เป็นเรื่อง "หนักหนา" เพราะไม่ได้มีปัญหาพฤติกรรมส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังได้เข้าทำลายโครงสร้างพื้นฐานของสังคมอีกด้วย

2. สาเหตุหลัก
อีหม่านอ่อนมี "เหตุ" มาจากหลายด้าน ด้านหลัก ๆ ของมัน ประกอบไปด้วย
หนึ่ง - สัมผัส , สอง - ห่างไกล , สาม - หมกมุ่น ดังต่อไปนี้

หนึ่ง - สัมผัส
1. สัมผัสอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยบาป เช่น อยู่ในวงคอนเสริต์คาราบาว หรือนั่งดูมิวสิควิดีโอวง Girly Berry

สอง - ห่างไกล
1. ห่าง ไกลจากผู้คนแห่งอีหม่าน คือการไม่คบหากับคนดี ๆ
2. ห่างไกลจากการแสวงหาความรู้ เช่น ปี ๆ หนึ่งแทบจะไม่เคยฟังบรรยายธรรมเลย แม้แต่วันศุกร์ ก็ไปตอนเขากำลังจะละหมาดแล้ว

สาม - หมกมุ่น
1. หมกมุ่นอายุของชีวิต คือ คิดว่าตัวเองจะมีอายุอยู่ยืนนาน วางแผนจะหาแต่ความสุขในดุนยา ไม่คิดจะตายในเร็ว ๆ นี้
2. หมกมุ่นอยู่กับโลกนี้ เช่น ทรัพย์สิน การหาเงินทอง การแข่งขันกันเรื่องลูกหลาน
3. หมกมุ่นอยู่กับเพศตรงข้าม เช่น เรื่องการมีแฟน การหมดเวลาไปกับการสร้างเสน่ห์แก่เพศตรงข้าม

3. วิธีบำบัดขั้นพื้นฐาน
การบำบัดพื้นฐาน ต้องเข้าไปแก้ไข "เหตุ" หลัก ๆ ของมันทั้งสามด้าน ดังนั้นการบำบัดพื้นฐานก็ประกอบไปด้วย 3 ด้านเช่นกัน คือ
หนึ่ง - แยกทาง , สอง - ใกล้ชิด, สาม - รำลึก
แยกทาง 1. แยกทางกับสิ่งแวดล้อมที่บาป คือตัดขาดกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายต่าง ๆ กล่าวง่าย ๆ ต้อง "ฏอลาก"(หย่า) เอาแบบหย่า 3 เลยยิ่งดี
ใกล้ชิด
1. ใกล้ชิดกับผู้คนแห่งอีหม่าน คือหันมาคบหาสมาคมกับคนดี ๆ เข้าร่วมกลุ่มคนทำงานอิสลามด้วยยิ่งดีใหญ่
2. ใกล้ชิดกับความรู้อิสลาม เช่น หาที่เรียนอิสลามเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ตามที่องค์กรต่าง ๆจัดขึ้น
รำลึก
1. รำลึกถึงความตาย เช่น เยี่ยมผู้ป่วย เยี่ยมกุบูรฺ เป็นต้น
2. รำลึกถึงความต่ำต้อยของโลกนี้ คือการครุ่นคิดถึงชีวิตที่ไม่ยั่งยืนและไม่แน่นอนของโลกนี้
3. รำลึกถึงวันสิ้นโลก และชีวิตหลังความตาย(คำแนะนำ ศึกษาง่าย ๆ จากความหมายอัล-กุรอานในยูซอัมมา)
การบำบัดทั้งสามด้านนี้เป็นการ "แยกทาง" กับพื้นที่ที่ทำให้ติดเชื้ออีหม่านอ่อน แล้วนำตัวเองไป "ใกล้ชิด" หรืออยู่อาศัยในเขตปลอดเชื้อ และจัดระบอบความคิดใหม่ ด้วยการ "รำลึก" สิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยขจัดเชื้อที่หลงเหลืออยู่ พร้อม ๆ กับนำไปสู่การบำบัดที่ยั่งยืนต่อไป

4. วิธีบำบัดรักษาระยะยาว
การบำบัดรักษาระยะยาว คือการเสริมสร้างอีหม่านให้แข็งแกร่ง จำเป็นต้องอาศัย "กระบวนการ" ที่เอาจริงเอาจัง ในที่นี่ขอแนะนำการการฝึกอบรมที่เข้มข้นใน 3 เรื่องต่อไปนี้

4.1 ให้หัวใจเข้าหาอัล-กุรอาน
ท่านอิบนุ กอยยิม ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับนำหัวใจกลับสู่อัล-กุรอานเอาไว้ว่า
"มีพื้นฐาน 2 ข้อ(ในการรักษาอาการอีหม่านอ่อน)ที่ขาดเสียมิได้ หนึ่งก็คือให้ท่านเคลื่อนหัวใจของท่านจากที่พำนักในโลกนี้ และให้มันไปสถิตอยู่ในที่พำนักแห่งโลกหน้า หลังจากนั้นให้นำหัวใจของท่านทั้งหมดจดจ่ออยู่กับความหมายอัล กุรอานและความกระจ่างในนั้น เพ่งพินิจและสร้างความเข้าใจในความมุ่งหมายของมัน ว่ามันถูกประทานมาเพื่อเป้าหมายอันใด นำตัวท่านเข้าไปมีส่วนร่วมในทุก ๆ อายะฮฺ แล้วกำหนดมันให้เป็นยาเพื่อบำบัดหัวใจของท่าน เมื่ออายะฮฺนี้ได้ถูกนำไปเป็นยาบำบัดหัวใจของท่านแล้ว หัวใจของท่านก็จะปราศจากโรคร้าย ด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ "

การบำบัดของอัล-กุรอานนั้น ต้องนำหัวใจไปอยู่กับความหมายที่ลึกซึ้งของมัน ท่านนบีเคยใคร่ครวญความหมายในอัล กุรอาน โดยท่านได้อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะที่กำลังยืนขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน(ละหมาดกิยามุล ลัยลฺ)
ท่านอบูบักรเป็นผู้ชายที่นุ่มนวล มีจิตใจที่อ่อนโยน เมื่อท่านนำผู้คนละหมาด และอ่านดำรัสของอัลลอฮฺจากอัล กุรอาน ท่านไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการร้องไห้ได้
แน่นอนที่สุด บรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีนั้น อ่านอัล กุรอาน เพ่งพิจารณาเนื้อหาในนั้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขา ...

อัล กุรอานนั้น เป็นยาบำบัดที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ดังที่อัลลอฮฺได้ยืนยันไว้ว่า
((وَنُنَزِّلُ مِنَ الْقُرْآنِ مَا هُوَ شِفَاءٌ وَرَحْمَةٌ لِلْمُؤْمِنِينَ))
และเราได้ให้ส่วนหนึ่งจากอัล กุรอานลงมาซึ่งเป็นการบำบัดและความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา[4]

4.2 ให้หัวใจผูกพันกับอัลลอฮฺ
ท่าน อิบนุ กอยยิม ได้กล่าวว่า "ในหัวใจที่แข็งกระด้าง ไม่สามารถทำให้อ่อนโยนได้อีก เว้นแต่ด้วยการซิกรฺ ฉะนั้น บ่าวคนหนึ่งที่ต้องการเยียวยาอาการหัวใจแข็งกระด้างก็ให้ใช้การซิกรฺเถิด

ชายคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านฮะซัน อัล บัศรียฺว่า 'โอ้ อบูสะอีด ฉันมาร้องทุกข์กับท่านเรื่องหัวใจที่แข็งกระด้างของฉัน' ท่านตอบว่า 'จงทำให้มันอ่อนด้วยการซิกรฺเถิด' เพราะว่าหัวใจที่ยิ่งเพิกเฉยเท่าไร ก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อมีการซิกรฺ หัวใจดวงนั้นก็อ่อนโยน เสมือนกับการเทตะกั่วลงไปในไฟ ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ทำให้หัวใจอ่อนโยนเท่ากับการซิกรฺ และการซิกรฺนั้นเป็นการบำบัดและเป็นยารักษาหัวใจ การเพิกเฉยต่อมันเป็นโรค ยาและการรักษามันก็คือการซิกรฺ
ท่านมะฮูลได้กล่าวว่า 'ซิกรฺ – การรำลึกถึงอัลลอฮฺ - นั้นเป็นการเยียวยา ส่วนการรำลึกถึงผู้คนนั้นเป็นโรค'" (อ้างจากอัล วาบิล อัศ เศาะยิบ และเราะฟิอฺ อัล กะลิม อัฏ ฏอยยิบ 142)

ชาวสลัฟบางคนได้กล่าวว่า "เมื่อซิกรฺสามารถเข้าไปฝังรากอยู่ในหัวใจแล้ว ถ้าชัยฏอนเข้ามาเมื่อใดเขาก็สามารถเอาชนะมันได้ ดังที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำให้ชัยฏอนที่เข้าใกล้เขาพ่ายแพ้ไป จากนั้นบรรดาชัยฏอนทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันรอบๆรอบตัวชัยฏอนตนนั้น พวกมันกล่าวว่า 'เกิดอะไรขึ้นกับเขา?' มีเสียงกล่าวขึ้นมาว่า 'มันได้รับอันตรายจากมนุษย์!'" (คัดจากมะดาริจญฺ อัส ซาลิกีน 2/424)

ซิกรฺมีคุณประโยชน์มากมาย ดังปรากฏทั้งในอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ รวมทั้งคำแนะนำมากมายของเหล่าอุละมาอ์ชั้นนำของโลกมุสลิม กล่าวได้ว่า ไม่มีคนใดที่ต้องการความสุขแห่งชีวิต ไม่มีใครต้องการหัวใจที่นิ่งสงบ โดยปราศจากการซิกรฺได้
อัลลอฮฺได้ยืนยันถึง หัวใจที่ "มุฏมะอินนะฮฺ"(สุขสงบ) ก็ด้วยการ "ซิกรฺ" เท่านั้น
((أَلاَ بِذِكْرِ اللَّهِ تَطْمَئِنُّ الْقُلُوبُ))
พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ [5]

4.3 เติมเต็มเวลาด้วยความดี
พฤติกรรมของผู้ที่มีอีหม่านที่สมบูรณ์นั้น คือการบูรณาการชีวิตทั้งหมดสู่ระบอบอิสลาม ดังนั้น ผู้ที่มีอีหม่านจึงนำความดีจากคำสอนอิสลามเติมเต็มลงสู่เวลาอย่างไม่มีช่องว่าง

การเติมเต็มดังกล่าวจึงต้องมีหลักการและศิลปะ ซึ่งอิสลามได้วางเรื่องนี้ไว้ 6 ประการ

1) เร่งรีบ – การทำความดี ไม่ควร "ตั้งท่า"มาก[6] และไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((‏التُّؤَدَةُ ‏ ‏فِي كُلِّ شَيْءٍ إِلَّا فِي عَمَلِ الْآخِرَةِ))
การไม่ผลีผลามอยู่ในทุกสิ่ง ยกเว้นในการงานเกี่ยวกับวันอาคิเราะฮฺ(ให้รีบเร่งในการทำความดี)[7]

2) เกาะติด – ทำต่อเนื่อง แม้ว่าจะน้อยก็ตาม
มีรายงานว่า
((‏ سُئِلَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏أَيُّ الْأَعْمَالِ أَحَبُّ إِلَى اللَّهِ قَالَ ‏ ‏أَدْوَمُهَا وَإِنْ قَلَّ))
เมื่อท่านนบีฯ ถูกถามว่า "การงานใดที่อัลลอฮฺรักมากที่สุด?" ท่านตอบว่า "สิ่งที่กระทำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะน้อยก็ตาม"[8]

3) ทุ่มเท – ทำอย่างสุดกำลังกาย กำลังใจ อัลลอฮฺได้ตรัสไว้เกี่ยวกับการทุ่มเทของบรรดาวะลียฺ(บ่าวที่พระองค์รัก)ในการกระทำอิบาดะฮฺไว้หลายๆที่ เช่น
((‏ كَانُوا قَلِيلًا مِنَ اللَّيْلِ مَا يَهْجَعُونَ وَبِالْأَسْحَارِ هُمْ يَسْتَغْفِرُونَ))
พวกเขาเคยหลับนอนแต่เพียงส่วนน้อยของเวลากลางคืน และในยามรุ่งสางพวกเขาขออภัยโทษ(ต่อพระองค์)[9]

4) ผ่อนคลาย – ต้องเรียนรู้ศิลปะการผ่อนกำลังจะทำให้รู้สึกดีและไม่อ่อนล้า
ท่านนบีฯ กล่าวว่า
((‏ إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ وَلَنْ ‏ ‏يُشَادَّ ‏ ‏الدِّينَ أَحَدٌ إِلَّا ‏ ‏غَلَبَهُ ‏فَسَدِّدُوا ‏ ‏وَقَارِبُوا))
แท้จริง ศาสนานั้นง่ายดาย จะไม่มีใครสามารถปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนักหน่วงได้โดยไม่ลดหย่อน เว้นแต่ศาสนาจะชนะเขา(เขาไม่สามารถจะทำได้) ดังนั้นจงแสวงหาแนวทางที่ถูกต้อง และจงอยู่ในทางสายกลาง[10]

5) ชดเชย – หากพลาดไป ต้องหาทางชดเชย เพื่อไม่ให้เสียนิสัย
ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((‏ مَنْ نَامَ عَنْ ‏ ‏حِزْبِهِ ‏أَوْ عَنْ شَيْءٍ مِنْهُ فَقَرَأَهُ فِيمَا بَيْنَ صَلَاةِ الْفَجْرِ وَصَلَاةِ الظُّهْرِ كُتِبَ لَهُ كَأَنَّمَا قَرَأَهُ مِنْ اللَّيْلِ))
ใครก็ตามที่นอนหลับไป โดยลืมบางส่วนของอัล กุรอานที่เคยอ่านตอนกลางคืนหรือส่วนหนึ่งจากอัล กุรอาน ต่อจากนั้นเขาได้อ่านมันระหว่างละหมาดฟัจญฺ(ศุบฮฺ) และละหมาดซุฮรฺ ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา เสมือนกับที่เขาได้อ่านมันในยามค่ำคืน[11]

6) หวังการตอบรับ – จิตมุ่งตรงสู่อัลลอฮฺ, ไม่โอหัง, หวั่นเกรงว่าอัลลอฮฺจะไม่รับ
รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวว่า
((‏ سَأَلْتُ رَسُولَ اللَّهِ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏عَنْ هَذِهِ الْآيَةِ وَالَّذِينَ يُؤْتُونَ مَا آتَوْا وَقُلُوبُهُمْ وَجِلَةٌ ‏قَالَتْ ‏‏عَائِشَةُ‏ ‏أَهُمْ الَّذِينَ يَشْرَبُونَ الْخَمْرَ وَيَسْرِقُونَ قَالَ لاَ يَا بِنْتَ ‏‏الصِّدِّيقِ ‏وَلَكِنَّهُمْ ‏ ‏الَّذِينَ يَصُومُونَ وَيُصَلُّونَ وَيَتَصَدَّقُونَ وَهُمْ يَخَافُونَ أَنْ لَا يُقْبَلَ مِنْهُمْ أُولَئِكَ الَّذِينَ يُسَارِعُونَ فِي الْخَيْرَاتِ))
ฉันได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮฺเกี่ยวกับอายะฮฺที่ว่า และบรรดาผู้ที่บริจาคสิ่งที่พวกเขาได้มาโดยที่จิตใจของเขาเปี่ยมได้ด้วยความหวั่นเกรง(อัล กุรอาน23:60) โดยถามว่า 'พวกเขาคือผู้ที่ดื่มสุราและลักขโมยหรือ?' ท่านเราะซูลตอบว่า 'ไม่ โอ้บุตรสาวของ อัศ ศิดดีกฺ แต่ว่าพวกเขาถือศีลอด ละหมาด และบริจาคทาน แต่ว่าพวกเขากลัวว่าการงานพวกเขาจะไม่ถูกรับ ชนเหล่านั้นคือผู้ที่รีบเร่งในการประกอบความดีทั้งหลาย(อัล กุรอาน23:61)[12]
หวังว่า คำแนะนำที่กล่าวมาทั้งหมดพอจะเป็นแนวทางให้พวกเรานำไปสู่การบำบัดรักษาโรค "อีหม่านอ่อน" ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป อินชาอัลลอฮฺ

Source : Fwd mail
read more...

สื่อรัก online หรือ สื่อซินา online

สื่อรัก online หรือ สื่อซินา online

เมื่ออินเตอร์เน็ทเข้ามามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ทุกคนทุกชาติทุกศาสนา
ทุกคนต่างพึ่งพาเทคโนโลยีซึ่งมันก็มีผลทั้งด้านบวกและลบ โดยฉพาะพี่น้องมุสลิมเรา
บทความต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ มีมากมายในสังคม Online ที่ระบาดทุกที่ที่มีคอมพิวเตอร์และ สายโทรศัพท์ ไม่มีก็ระบบเอจ on บนมือถือก็มี

อย่างน้อยๆ บทความนี้อาจทำได้หลายคนตื่น หลายคนรู้เท่าทันลูกหลานของท่าน แม้กระทั้งคนที่มีความรู้ด้านศาสนายังหลงทาง เพราะคำว่า หลง กับอารมณ์รัก
อารมณ์ที่หลงชื่นชอบ เรียกสั้นๆว่า หลงเดินตามชัยฎอน มารร้ายที่ถูกสาปแช่ง บางคนบอก เจตนาดีที่จะคุย สื่อสารกัน เล่นลิ้นเล่นคำไปเรื่อย สนุกๆไปเรื่อย
สุดท้ายก็พ่ายแพ้กับชัยฏอน เพราะรักเขาไปแล้ว เมื่อรักแล้ว อารมณ์จะนำพา ให้ละเมิดข้อห้ามในศาสนา



ขอความสันติจงมีแด่ท่าน



บทที่ 1 ตามล่าหาเมล์ หรือเสริชเอา พบปะฉะดะ

มีเมล์ไหม ขอเมล์หน่อยสิ …..
ชอบจังคนนี้ ใครหนอ เขียนถูกใจ มีเมล์ไหม
คนในรูปสวยจัง น่ารักด้วย ใครเนี่ย มีเมล์ไหม
น่าตาดีจริงๆ ดูคมเข้ม ลองหาสิ เมล์เขาน่าจะมีอยู่ เดี๋ยว add m คุยด้วย
สุดยอดมุสลิมะฮฺคนนี้ คลุมฮิญาบมารยาทก็ดี มีเมล์เขาไหมขอหน่อยๆ
เหงานะ add มาคุยได้ ยังเรียนอยู่
อยากมีเพื่อน ตอนนี้ เพิ่งเข้า กทม. add มานะครับ
เข้าเว็บมุสลิมสิ มีแยะที่เขาโพสรูปไว้ก็มี สวยๆน่ารักๆทั้งนั้น มีเมล์แนบไว้ด้วย
เนี่ยเอาป่าว เดี๋ยวช่วยเหลือ
(และแล้วมุสลิมะฮฺที่ชอบโพสรูปตัวเองหลายๆคน ก็กลายเป็น นางงาม OnInternet ใส่ฮิญาบทำหน้าสวย ให้หนุ่มๆมาเลือกสรรค์ ช่างมีคุณค่าจริงๆ )


บทที่ 2 เริ่มทักทาย สร้างมโนภาพ

สล่ามๆ
อัสลามมุอะลัยกุม
อัสลามมุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮิ วะบะรอกาตุฮฺ
ชื่ออะไรเหรอ เนี่ยโพสรูปในเว็บ… อายุเท่าไหร่ เรียนหรือทำงานคับ
สล่ามค่ะ บังเห็นรูปบังในเน็ท เลย add mail มา ไม่ทราบชื่ออะไรคะ
(สาวๆหนุ่มๆที่ถามแบบนี้ คาดว่าทำงานอยู่ทะเบียนราษฎร์ )

มีรูปใหม่ โชว์หน่อย
มีรูปไหมส่งแลกกันเอาป่าวๆ (รูปก็คัดเลือกชนิดที่ว่า ดูดีมุมนี้ที่สุด เจอตัวจริงเล่นเอาเครียด(มั้ง))
ขอโทษนะคะ/ นะครับ ซุนนะฮฺ หรือ ชีอะฮฺคะ/ ครับ (ไม่มีอะไรจะได้คุยได้ถูกเรื่อง )

เล่นอยู่ แถวไหนคับ ผมอยู่ …. เคยไปที่ไหม เผื่อเคยเจอกัน (มาแนวมั่วนิ่ม )
สล่ามครับ พอดีเห็นในเว็บตามอ่านมาสักระยะ เลยมาขอสนทนาธรรม
(แผนสูง หวังฟลุก)
20 คำถาม ถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้รายละเอียดฝ่ายตรงข้ามมากที่สุด
ไวไฟมากก็ขอเบอร์ไว้คุยกัน ลีลาการคุยชวนฉงนและหลงไหล หลงเพ้อตาม หลายคมนั่งอมยิ้มกับมอนิเตอร์ เพราะวาจาผ่านตัวหนังสือ
มีกล้องไหม เปิดหน่อยสิ




บทที่ 3 คุยไปได้สักระยะแรกๆ เปิดใจ แสดงตัวพร้อมมโนภาพที่งดงาม ระยะสร้างภาพ

สล่ามเธอ ไม่เห็น online หลายวัน หายไปไหนมา รู้ไหมห่วงนะ
สล่ามคะบัง บังเรียนหนัก /งานยุ่งเหรอคะ ไม่เห็นเมล์มาเลย
น้อง อาทิตย์หน้ามีงานมุสลิมที่นี่ ไปไหมเจอกันในงานนะ
บังเขามีงานกัน เค้าไปนะ ถ้าไปก็เจอกันได้นะ
เคยอ่านบทความนี้ไหม …สนใจไหม เนี่ยเป็นทฤษฎีของ… (มาแนวคนมีภูมิ)





บทที่ 4 คุยไปได้สักระยะที่ 2 เริ่มสนิทมากมาย ให้ใจไปกว่าครึ่ง ระยะหลง

สล่ามจ้ะ วันนี้บังแย่นะ โทรมาหน่อย นี่เบอร์ ไม่อยากพิมพ์แล้วหมดแรง
สล่ามค่ะบัง พรุ่งนี้ มีงานบรรยายศาสนาที่นี่ จะมาไหมถ้ามาโทรมานะ เดี๋ยวเจอกัน
สล่ามจ้ะ จะไม่อยู่หลายวัน หากอยากคุย โทรมาเบอร์นี้ ….
On มาพอดี อยากคุยด้วย อยากปรึกษาจัง คุยกับใครไม่มีใครไว้ใจพูดคุยได้เท่าเธอเลย
บังช่วงนี้บังหายไปนานมาก ห่วงนะ หรือบังมีคนคุยคนใหม่ สาวที่ไหนอีกล่ะ
เราคุยกันมานานเท่าไหร่ รู้ไหมช่างเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจที่สุด





บทที่ 5 ไม่อกหัก ก็สมหวัง ระยะ ระหองระแหง หรือสุกงอม ระยะวกวน

สล่ามน้อง ช่วงนี้พี่ ไม่ว่างนะ ต้องออกไปทำงาน ไว้คุยกันใหม่ (แล้วบล็อกซะ)
สล่ามค่ะบัง ช่วงนี้ถ้าบังโทรมาแล้วเค้าไม่ได้รับ คือเขาติดเรียน / ทำงานยุ่งประชุมนะ
สล่ามน้อง พี่มีเรื่องจะบอก เราเลิกคุยกันเถอะ พี่คิดว่า เราไปกันไม่ได้
สล่ามค่ะบัง ทำไมบังบล็อกน้องล่ะ ถ้าน้องไม่ใช้เมล์ใหม่ add มา ปลอมเป็นสาวใหม่ ก็คงนึกว่าบังยุ่งกับเรียน / ทำงาน ทำไมทำแบบนี้ ไอ้คนหลอกลวง

สล่ามนิ / บัง / พี่ ช่วยเอาเมล์คนนี้ไปคุยด้วยที เนี่ย เขาเป็นแฟนผมตอนนี้เขา งอนอยู่ นิช่วยที
สล่ามค่ะนิ / บัง / พี่ ช่วยที แฟนนู๋มันงอนน่ะ หาว่านู๋มีกิ๊กใหม่ นะนะ ช่วยที ขอร้องล่ะ (ช่วยส่งเสริมนู๋ๆทำซินาเหรอคะ - -")
แล้วก็ตั้งชื่อหน้า msn ว่ากันไปมา ….. มาแล้วอย่ามาทักนะเว้ย งอนๆ
ใจให้เธอหมดแล้ว เราดีกันนะ ทำใจ คิดว่าชีวิคแค่โดนทำร้าย แค่ถูกทดสอบ … แด่เธอคนเดียวที่ใจมอบไว้ แต่เธอไม่เอา

สล่ามน้อง ไหนบอกว่า เรียนจนไม่มีเวลาเล่นเน็ทไง ไหงเห็นon อีกเมล์ล่ะ แล้วบล็อกพี่ทำไม ทำไมใจดำแบบนี้ บังอุตส่าให้ใจ จริงใจกับน้องเสมอ
หรือว่า บังมันไม่หล่อ ไม่หน้าตาดี ไม่มีรถขับ พาน้องไปที่ต่างๆ ตังค์บังก็โอนให้ใช้ บัตรเติมเงินบังก็เติมให้

น้องเติมเงินให้บังไว้โทรหาน้อง ทำไมไม่โทรมาบ้าง เอาไปโทรหากิ๊กใหม่ใช่ไหม ตังค์ก็โอนให้ใช้ ไอ้แมงดา…
และแล้ว น้ำตา ก็ร่วงหลังคีย์บอร์ด มือสั่นระริก พิมพ์ต่อไม่ได้ ดับคอม แล้วหายไปไม่ชั่วคราวก็สักระยะ (หลบเลียแผลใจ)



สล่ามบัง คิดถึงจัง หลับฝันดีนะ ก่อนนอนดุอาให้น้องด้วย
สล่ามจ้ะน้อง พี่ดุอาให้น้องเสมอ ยามที่สุญูด ละหมาดพี่ก็ขอให้

สล่ามจ้ะ นั่งรอให้ on รอตั้งนาน ดีใจจัง มีเรื่องจะบอก เราคบกันทางเน็ทไหม เดี๋ยวบังบอกมะฮฺก่อนนะว่ามีแฟนแล้ว เจอทางเน็ท มะฮฺคงเข้าใจ ว่าเรารักกัน แล้วจะให้มะฮฺไปขอ รอบังนะ
สล่ามค่ะบัง จะดีเหรอคะ มีแฟนผ่านเน็ท แล้วน้องจะบอกคนอื่นยังไงว่าแฟนอยู่ในเน็ท เคยเห็นแต่รูป ตัวจริงก็ไม่เคยเจอ

เรานิกะฮฺกันไหม กลับประเทศบังจะไปขอนะ เนี่ยละหมาดละหมาดอิสตีคอเราะฮมาแล้วด้วย (ดีรู้ศาสนาดีนะเนี่ย หึหึ)

เราออกมาเจอกันไหม รักกันมาตั้งนานแล้ว โทรศัพท์ก็คุยมานานแล้ว(ซินาทางหู และปาก นิ้วมือด้วย เพราะถ้อยคำผ่านคีย์บอร์ด )
และก็นัดพบกัน เริ่มด้วย เดินเล่น ดูหนัง ชายหน้าคมเข้ม สาวคลุมฮิญาบอย่างดี เดินคู่กัน จูงมือเข้าโรงหนัง ฮะลาลกันแล้วเหรอ

Source: Fwd mail
read more...

ข้อคิดเล็กๆน้อยๆจากเด็กสาวผู้หนึ่ง‏ แด่....ผู้ที่กำลังค้นหาตัวเอง

เชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ในช่วงรอยต่อของช่วงชีวิต เช่น
นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 หรือนักศึกษาที่กำลังจะจบปีหรือใครก็ตามที่ยังหาเป้าหมายชีวิตตัวเองไม่เจอ  จะรู้สึกเคว้งคว้าง กังวล สับสน ห่วงอนาคตว่าจะไปในทิศทางไหน ชีวิตจะเป็นยังไง ? และคำถามอีกมากมายรุมเร้า
ฉันเคยเป็นแบบนั้น......

และแล้ว...วันหนึ่งฉันก็คิดได้ว่า จะมีประโยชน์อะไรที่มั่วห่วงอนาคตของชีวิตเพียงสั้นๆนี้

ผลบุญที่มีอยู่ตามรายทางชีวิตต่างหากที่ฉันต้องห่วง

ห่วงว่าฉันเก็บมาแล้วเท่าไหร่ เพียงพอมั้ยที่จะนำไปใช้ในอาคีรัต !!!

ความจริงแล้วเป้าหมายสูงสุดในชีวิตดุนยามันเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของชีวิต
แต่เวลาหลังจากเป้าหมายนั้น(อาคีรัต)ต่างหากที่สำคัญ

เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว
ผลบุญที่เก็บมาได้ตามรายทางชีวิตต่างหาก คือสิ่งที่สำคัญ
เพราะอัลลอฮฺดูคุณว่า คุณทำอะไร  ไม่ได้ดูว่า  คุณได้เป็นอะไร
แต่การมีเป้าหมายชีวิต ใช่ว่าไม่สำคัญ
เพราะคนที่มีเป้าหมายชีวิตแน่นอน จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นใจ

คุณค้นหาตัวเองได้ แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันจนมากเกินไป
อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญกว่าคืออะไรก็พอ...
ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองผู้อ่านทุกท่าน
สลาม ^_^
Source : Fwd mail
read more...

5/18/2553

ความจริงที่ต้องขัดขวาง‏

อัสลามมุอลัยกุม,

ในย่านการค้าของเมือง Heaton ในนิวยอร์ค ได้มีการสร้าง บาร์ ที่รูปร่างอาคาร
 เหมือนกับ กะบะฮ์ บาร์นี้ถูกตั้งชื่อว่า APPLE MECCA ซึ่งจำหน่ายสุรา และ
 เครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ
มุสลิมใน ยิวยอร์คกำลังช่วยกันผลักดัน รัฐบาลของอเมริกา เพื่อให้หยุดยั้งการ
 เปิดของ บาร์นี้..

read more...

โปรดระวังอัล-กรุอานปลอม‏

อัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮิวาบารอกาตุฮ์
แจ้งเตือนมุสลิมและผู้ที่กำลังศึกษาอิสลาม โปรดระวังอัล-กรุอานปลอม 77 บท(ซูเราะฮฺ)อาจมาสู่ประเทศไทย
 
Chapter A .............. The Blessing
Chapter 1 .............. The Opening
Chapter 2 ............... Love
Chapter 3 ............... Light
Chapter 4 ............... Peace Chapter 5 ............... Faith Chapter 6 ............... Truth
Chapter 7 ............... Oneness Chapter 8 ............... The Messiah Chapter 9 ............... The Crucifixion
Chapter 10 ............. The Spirit
Chapter 11 ............. The True Furqan Chapter 12 ............. The Triune God Chapter 13 ............. The Sermon Chapter 14 ............. The Disciples
Chapter 15 ............. The Challenge Chapter 16 ............. Predestination
Chapter 17 ............. The Apostates
Chapter 18 ............. The Believers Chapter 19 ............. Repentance Chapter 20 ............. Righteousness Chapter 21 ............. The Purification
Chapter 22 ............. The Idols
Chapter 23 ............. Charity
Chapter 24 ............. Women Chapter 25 ............. Marriage Chapter 26 ............. Divorce Chapter 27 ............. Adultery Chapter 28 ............. The Table Spread Chapter 29 ............. The Miracles
Chapter 30 ............. The Hypocrites
Chapter 31 ............. Murder Chapter 32 ............. The Tribute Chapter 33 ............. Lying Chapter 34 ............. The Lost
Chapter 35 ............. The Brotherhood Chapter 36 ............. Fasting
Chapter 37 ............. The Treasure
Chapter 38 ............. The Prophets Chapter 39 ............. The Conspirators Chapter 40 ............. The Illiterates Chapter 41 ............. The Slanderers Chapter 42 ............. Prayer
Chapter 43 ............. The Kings Chapter 44 ............. The Evil One Chapter 45 ............. Abrogation
Chapter 46 ............. The Shepherds
Chapter 47 ............. The Testimony
Chapter 48 ............. The Guidance Chapter 49 ............. The Gospel Chapter 50 ............. The Polytheists
Chapter 51 ............. The Judgement Chapter 52 ............. The Threat Chapter 53 ............. The Atrocities
Chapter 54 ............. The Sacrifice
Chapter 55 ............. Fairy Tales Chapter 56 ............. Paradise Chapter 57 ............. The Instigators Chapter 58 ............. False Witnesses Chapter 59 ............. Prosperity Chapter 60 ............. The Poor
Chapter 61 ............. Inspiration
Chapter 62 ............. The Rightly-Guided
Chapter 63 ............. The Beatitudes
Chapter 64 ............. The Allies Chapter 65 ............. The Recitation Chapter 66 ............. The Infidels Chapter 67 ............. The Seal Chapter 68 ............. The Assertion
Chapter 69 ............. The Revelation Chapter 70 ............. Plagiarism
Chapter 71 ............. The Diligent
Chapter 72 ............. The Marvels Chapter 73 ............. The Argument Chapter 74 ............. The Scale Chapter 75 ............. The Spark of Intelligence Chapter 76 ............. The Excellent Names
Chapter 77 ............. The Martyr
 
คลิกที่นี้
 
พี่น้องมุสลิมกรุณาส่งต่อด้วย และบอกต่อด้วย หรือนำลิงค์ไปโพสในเว็บไซด์ ญาซากัลลอฮฺ
 
 
วะอาลัยกุมมุสลามว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์ว่าบารอกาตุฮฺ
read more...

หยดน้ำตา หยาดน้ำคำ จากเจ้าสาวในคืนแรก‏

บันทึก ณ อาคารบิลาล ม.อิสลามนานาชาติ มาเลเซีย"อานี มีเรื่อง สำคัญที่พ่อกับ
แม่จะคุยด้วย" นี้ถือเป็นมูก อดดีมะห์ ของการพูดคุยกันของคน 3 คน ในครอบครัว 
ฉันในวันหนึ่งแม่นั่ง นิ่งคอยสังเกตอากัปกริยาของฉัน โดยให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้น
มาก่อน "อานี ทั้งพ่อและแม่ได้ตอบรับการสู่ขอจากชายคนหนึ่ง สำหรับลูก""อะไร 
น่ะ !" ฉันอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง กับสิ่ง ที่พ่อได้พูดมา เพราะฉันยังไม่คิด
ถึงเรื่องการมีครอบครัวในเวลานี้ ฉันยังคำนึง ถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน 
ที่ฉันต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ผ่านการศึกษาที่ ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาเป็น
อุปสรรคสำหรับความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันนี้ และ แน่นอนการมีครอบครัวก็จะเป็น
อุปสรรคสำคัญ ฉันจึงไม่คิดที่จะมีพันธะหรือภาระผูก มัดกับใครทั้งสิ้น"ทำไมพ่อ 
กับแม่ไม่คุยกับอานีก่อน ๆ ที่จะตกลงอะไร" ฉันเถียงกับพ่อ เพราะไม่พอใจกับการ
ตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใด ๆ กับฉัน ฉัน คิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอนาคตและ
ชีวิตของฉัน ๆ จะต้องร่วมตัดสินใจ ด้วยพ่อนั่ง นิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ถ้า
พ่อกับแม่ ปรึกษากับอานีก่อน เราก็รู้ว่าอานีจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอานี จะ
ต้องตอบว่า ยังไม่พร้อม ถ้าเช่นนี้แล้วเมื่อไรเล่า ที่อานีจะพร้อม อานีจะมี
ชีวิตอยู่เช่น นี้อีกนานแค่ไหน ?"ฉัน นิ่งเงียบ แล้วแม่ก็พูดต่อ "ในฐานะ
ผู้ใหญ่ เราก็คาดหวังว่า ลูกซึ่งเรารักและหวงมากๆ นี้ จะต้องมีสามีที่พร้อมจะปก
ป้องและ คุ้มครองชีวิตลูก""เราไม่ ได้ต้องการจะปล่อยลูกและทิ้งภาระให้กับคน
อื่น แต่ลูกต้องเข้าใจว่า นี้คือความ รับผิดชอบของพ่อกับแม่ในการหาสามีที่ดีให้
กับลูกสาวของตนเอง" เสียงของแม่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แต่ฉันยังไม่ยอมเข้า ใจและ
รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น"อา นี! " พ่อเรียกชื่อฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่
เห็นฉันนิ่งเงียบมานาน แล้วพูดว่า"จงมั่นใจเถิดว่า การที่พ่อและแม่ต้องตัดสินใจ
เช่น นี้ ก็เพื่อสิ่งดีๆ สำหรับตัวของอานี เราหวงอานีเหลือเกิน"เมื่อไม่เห็น
ปฏิกิริยาใดๆ จากฉัน แม่ก็พูดตัดบทออกไป ว่า "นี้แหวนของเขา จงสวมเถิด ลูก" แม่
วางกล่องกลมสีแดงเล็กๆ หน้าฉัน แล้วก็เดินออกไปชีวิตฉัน ในตอนนี้ เป็นไปด้วย
ความสับสนอลหม่าน หลากหลายคำถามเวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงของ ฉัน ถ้าฉันตอบตกลง
ตามการตัดสินใจของพ่อแม่ นั้นก็หมายถึงฉันต้องละทิ้งอนาคตและ ความฝันของฉันเอง 
แต่ถ้าฉันปฎิเสธิ ก็ต้องหมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำให้กับพ่อ แม่ ผู้ซึ่งมีบุญ
คุณอย่างล้นเหลือต่อชีวิตฉัน ปราศจากท่านทั้งสอง ฉันคงไม่อาจจะ มีชีวิตอย่างทุก
วันนี้ฉันตก อยู่ในวังวนแห่งความสับสน ภาวะทางจิตใจของฉันกำลังห้ำหั่นและต่อสู้
กันเอง ฉันจะ ต้องเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก คือการปฎิเสธิการแต่งงาน หรือฉัน
จะต้องตามการ ตัดสินใจของพ่อแม่ถ้าฉัน เอาตัวเองเป็นหลัก นั้นก็หมายถึงการสร้าง
ความเจ็บช้ำกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ช้ำใจ กับฉัน ชีวิตฉันต่อไปจะมีบัรกัตอย่างไร ?
กาลเวลาผั่นผ่านไปหลายวัน กับห้วงคำนึงอันอยากที่จะ ได้บทสรุปที่ลงตัว... เป็น
ไปได้ อย่างไรกันที่ฉันจะตอบรับแต่งงานกับคนที่ฉันยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามา 
ก่อนการแต่ง งานไม่ไช่การตอบโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่มีสูตรสำเร็จตายตัวอยู่แล้ว 
เรื่องของ ชีวิตคู่ที่จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนตลอดทั้ง
ชีวิต ปราศจาก ความเข้าใจและการโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้ง
สองชีวิต สองจิต ใจ จะมาหลอมรวมเป็นหนึ่งในฐานะสามีภรรยาได้เรื่องของชีวิตครอบ
ครัวหลายต่อหลายคู่ที่ผ่านหูและ ผ่านตาฉันเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบลงด้วยการ
แตกแยก ทั้งสองคนประคับประคองชีวิต คู่ได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้น
ครอบครัวก็ต้องล้มสลาย ประดุจเรือ ที่แล่นผ่านท้องทะเลลึก ต้องเผชิญกับภาวะ
อากาศและคลื่นลมที่แปรปรวน และในที่สุด เรือก็อับปางลง เศษชิ้นส่วนพังกระจาย
ระเนระนาดปลิ่วว่อนตามแต่คลื่นลมจะพัดพา ไปและถ้ามีลูก ลูกก็ต้องเป็นเหยื่อของ 
สถานการณ์ที่ต้องผจญกับความทุกข์จากการพลัดพราก"ยาอัลเลาะห์ โปรดช่วยฉันในการ
ตัดสินใจครั้งสำคัญ สำหรับชีวิตนี้ จงชี้แนะทางออกสำหรับชีวิตฉันด้วย ขอพระองค์
จงอย่าให้ฉันต้อง เดียวดายในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของชีวิตนี้โอ้อัลเลาะห์ 
ชีวิตฉันในตอนนี้ต้องเผชิญกับความบีบ คั้นอย่างสุดแสนทรมาน ระหว่างความต้องการ
ของฉันเอง กับความประสงค์ของพ่อ แม่โอ้อัล เลาะห์ โปรดชี้แนวทางให้กับฉัน
ด้วย....""ป๊ะ ม๊ะ อานีได้ตัดสินใจ แล้ว" นี้คือถ้อยคำแรกที่ฉันพูดกับพ่อแม่ 
หลังจากที่เงียบหายไปหลายวัน ใน เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกำลังอ่านหนังสือ
พิมพ์ และแม่กำลังปัก เสื้อพ่อถามว่า "ตัดสินใจอะไร หรือ ?" ทั้งพ่อและแม่ก็มอง
หน้ากันฉันตอบไป ว่า "ก็เรื่องผู้ชายที่พ่อกับแม่ ได้เลือกไว้"ทั้งพ่อและแม่มอง
หน้าฉัน เหมือนจะรู้คำตอบให้ได้ การตัดสินใจของเกิดขึ้นหลังจาก ที่ได้ไตร่ตรอง
อย่างรอบคอบที่สุด เท่าที่สติปัญญาฉันพอมี เพราะสิ่งที่จะเกิด ขึ้นหลังจากนี้
ไป ก็คือ จังหวะก้าวต่อไปของชีวิตฉันบนเส้นทางสายใหม่ สายที่จะ ต้องมีคนอื่น
เข้ามาเกี่ยวข้อง และคนๆ นั้นก็เป็นคนที่ฉันไม่รู้หน้าค่าตามาก่อน เลย"ถ้า
หากว่าสิ่งนี้เป็นตักดีรจากอัลเลาะห์ อานีก็ขอยอม รับในคู่ชีวิตที่ทั้งพ่อและ
แม่ได้ตัดสินใจเลือกไว้ให้แล้ว" ฉันจบคำ พูดนี้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ ปนกับ
ความเศร้า และในทันใด น้ำตาฉันก็รินไหล ออกมา ตกกระทบบนตักของฉัน แม่เข้ามานั่ง
ใกล้ ฉัน และเข้ามากอดฉัน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าที่แม่กอดนั้นเพราะต้องเพราะดีใจที่
ฉัน ได้ตัดสินใจตามและยอมรับที่ทั้งสองได้ตัดสินใจล่วงหน้าแล้ว หรือเข้ามากอด
เพื่อ ต้องการสงบสติอารมณ์ของฉันในท่ามกลางความ เงียบพ่อก็พูดออกมาว่า "จงซูโกร
เถิด เราหวังว่าอานีจะมีความสุขใน ชีวิต"หลังจากนั้นฉันก็เข้าห้อง ปิดตัว
เงียบอยู่คนเดียว ไม่สนใจสิ่งใดๆ ภายนอกทั้งสิ้น ฉันรู้ว่าทั้งพ่อแม่ดีใจมากกับ
คำตอบของฉัน แต่ ใครจะรู้บ้างว่า อันตัวฉันนี้รวดร้าวยิ่งนัก กับสิ่งที่กำลังจะ
เป็นไป ฉันคิด อยู่เสมอว่าแม้ใจฉันจะร้องให้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ดีกว่าการทำให้
พ่อแม่ต้อง เสียใจ ให้ทั้งสองสบายใจเถิด ส่วนตัวฉันจะเป็นอย่างไรก็ได้แม่ เข้า
มาหาฉัน และพูดว่า "แม่จะนัดวันให้ลูกได้พบกับเขาก่อนในเร็วๆ นี้""ไม่ต้องหรอก
ค่ะ รอพบวันนั้นเลยก็ได้" ฉันตอบแม่ สั้นๆ เพราะไม่มั่นใจนักว่าหากได้พบกัน บาง
ทีฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ ได้ และหากเป็นดังนี้ พ่อกับแม่ก็จะเสียใจ
อีกพ่อเข้ามาอีกคน หนึ่ง ดูเหมือนว่าพ่อจะได้ยินในสิ่งที่ฉันคุยกับแม่ พ่อพูด
กับฉัน ว่า "ทำไมถึงไม่อยากพบกับเขาก่อน พ่อว่าลูกได้คุยอะไรๆ กับเขาก่อนก็น่า 
จะดีกว่า"ฉันตอบพ่อไปว่า "อานีได้สนองตอบต่อความ ต้องการของทั้งพ่อและแม่แล้ว 
แล้วทำไมพ่อกับแม่จึงไม่ตามอานีบ้าง"แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้ง
หนึ่ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก เลย.วันนิกาห์ใจฉันวันนี้ รู้สึกสับ
อลหม่านไปหมด มีความดีใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกเศร้าก็ไม่ได้จางหาย บวกกับความ
สับสนในชีวิต. ช่างลำบากเหลือ เหลือเกินที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ภายในใจของลูกผู้หญิงเช่น ฉันญาติๆ และน้องของฉันนั่งรายล้อมข้างๆ ฉัน พร้อมกับ
สายตาที่จับจ้องไปยังชายผู้หนึ่ง ใบ หน้าที่คมเข้ม ในมาดขรึม สุขุมและเหยือก
เย็น พวกเขานั่งในอีกส่วนหนึ่งของบ้าน พร้อมทั้งพ่อฉัน อีหม่าม และพวกผู้ชาย
ทั้งที่เป็นญาติ และคนแถบบ้านใกล้เรือน เคียง วันนี้คง เป็นวันสำคัญที่สุด
สำหรับชีวิตฉัน อีกซักครู่ก็จะมีการอิญาบและกอบูล กับผู้ชาย คนหนึ่งซึ่งวันนี้
เป็นวันแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขา แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของ พ่อแม่ ฉันก็ขอมอบ
หมายฉันหวัง ว่าด้วยการเลือกและการตัดสินใจจากครอบครัวเช่นนี้ จะเปี่ยมด้วยเราะ
ห์มัตจาก อัลเลาะห์ตะอาลาว่าที่ สามีของฉันนั่งหันหน้าเข้าหาพ่อฉัน ซึ่งก็คือ
พ่อตาของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้าง หน้านี้ ดูท่าทีก็เรียบร้อยมาก เห็นปากเขามุมมิ
บเหมือนกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ ฉันไม่ได้ยิน หลังจากนั้น หลายคนในนั้นก็ผงกหัว
ตาม เหมือนเห็นพ้องต้องกันในสิ่ง ที่ได้เอื้อนเอยไปทุกคนยก มือดุอาอ ที่ได้อ่าน
โดยผู้ชายคนนั้น"อานี เป็นภรรยาของเขาแล้วนะ" เสียงกระซิบจากญาติของฉันคนหนึ่ง
ซึ่งนั่งใกล้ฉัน ตลอด และโดย ไม่ตั้งใจ น้ำตาฉันก็รินไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง ฉัน
สับสนในตัวเองมาก ด้านหนึ่งมี ความสุขและดีใจ แต่อีกด้านฉันก็เศร้า และเจ็บปวด
แต่จากนี้ไป ฉันก็คือภรรยาของเขา ความรับผิดชอบใน ครอบครัวทั้งจากพ่อและจากแม่ 
ก็ได้จบสิ้นลงแล้ว พ่อและแม่ฉันได้ปลดปล่อยภาระ ทั้งมวลสู่ผู้ชายคนหนึ่ง"โอ้
อัล เลาะห์ จงประทานความสุขให้แก่ครอบครัวฉัน จงประทานลูกหลานที่ดีๆ เพื่อ 
เพื่อสืบ ทอดจิตวิญญาณในศาสนาของพระองค์..." ดุอาอ ของ ฉันฉันครวญ คิดถึงชีวิต
ในบทบาทใหม่ สถานภาพใหม่ที่ฉันได้รับเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ที่ ฉันถูกเรียก
ว่าเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยสถานภาพนี้ฉันจะต้อง รับภาระอยู่
ไม่น้อย เป็นภาระเฉกเช่นภรรยาที่ดีทั้งหลายพึงปฎิบัติต่อ สามี"ฉันรับ ภาระนี้
ได้หรือ? " คำถามของฉัน เองที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงอยู่ตลอดเวลา และบ่อย
ครั้งที่ฉันรู้สึกว่า ฉันคง ไม่สามารถทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์"อัสสาลามู
อาลัยกุม..." เสียงผู้ชายคนหนึ่ง จากประตูห้องของฉัน หลังจากฉัน ตอบสลามแล้วเขา
ก็เข้ามา ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าฉัน ในขณะที่ฉันไม่กล้าแม้จะ เงยหน้าขึ้นมา 
ฉันเพียงมองไปที่ขาเขา และพร้อมกันนั้น ญาติๆ และเพื่อนๆ ของฉัน ก็พากันเดินออก
ไปฉัน รู้สึกเหมือนตัวสั่น และหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และ
หวาด กลัว แล้วเขาก็นั่งลงข้างหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยังไม่กล้า ที่จะมองหน้าเขา ฉัน
คิด ว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของฉันในเวลานี้"ยาฮาบีบี*" ถ้อยคำแรกที่ฉันได้ยิน
จากปากเขา เสมือนหนึ่งต้องการประโลมใจฉัน และให้ ฉันมองหน้าเขาฉัน พยายามบังคับ
ตนเองให้ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา และในทันใดเขาก็ยื่นมือขวาและจับมือ ซ้ายของฉัน 
พร้อมกับบรรจงสวมแหวนทองในมิ้วนางของฉันฉันพยายามบังคับตนเองอีกครั้งหนึ่ง 
เพื่อเรียก เขา "อาบัง" และเราก็สลามต่อกัน จากนั้นฉันก้มลงจูบมือเขา และฉันก็
พูดว่า "อานีขอมอบหมายตัวและชีวิตของอานีสำหรับบัง อานีหวังว่าบังจะรับได้ใน 
ทุกอย่างจากอานี เท่าที่อานีมีอยู่นี้ ด้วยความอิคลาส**จากใจของบัง""เราจะร่วม
กันสร้างชีวิต และร่วมกันก้าวเดินสู่ครอบ ครัวสากีนะห์***" เขาตอบให้ สัญญากับ
ฉันนี้คือ ครั้งแรกที่ฉันได้พบและได้คุยกับสามี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงได้ดูรูปเขา
ที่แม่ให้ มาวันแรกผ่านไป โดยเขากลับบ้าน และพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันวาลีมะ 
ห์ในงานเลี้ยง ครอบครัวฉันได้จัดอย่าง เรียบง่าย แต่ก็ครึกครื้นมาก เพราะญาติ
พี่น้องทุกคนได้มากันหมด รวมทั้งเพื่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วย
กัน ในขณะเดียวกันทั้งญาติพี่น้องฝ่าย สามี รวมทั้งเพื่อนๆ เขา ก็มากันเยอะ 
เกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ความตั้งใจที่ จะทำแบบเรียบง่าย และเล็กๆ ในตอนแรก 
แต่เมื่อมาถึงวันจริงกลับมากันมาก ทุกคนก็ เหนื่อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ฉันฉัน 
สังเกตว่า สามีฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมาก วันนี้เขาใส่ 
ชุดขาว และเน้นความเป็นท้องถิ่น ดูแล้วช่างเป็นรสนิยมที่หาได้ยากยิ่งในสังคม 
ปัจจุบันฉัน รู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยลืมในการขอดุอาอต่อ
อัลเลาะห์ ให้ ประทานสามีที่ดี สามีที่สามารถเป็นผู้นำในการประคับประคองชีวิต
ฉันให้ก้าวเดินบน ทางที่เที่ยงตรง ทางที่ได้รับการยอมรับจากพระผู้อภิบาล เขาคน
นั้นจะต้องรักฉันใน ฐานะภรรยาฉันไม่ เคยคิดอยากได้คนที่มีฐานะ หรือคนที่มี
ตำแหน่งใหญ่โต เหมือนกับที่เพื่อนๆ ฉันเขา เห่อกัน และมุ่งมั่นอยากจะได้ โดย
เฉพาะในช่วงที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วน ฉันไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ฉันขอ
เพียงให้เขาคนนั้นเป็นคนที่มีศาสนา และมีความ สุขร่วมกันกับฉัน บนพื้นฐานของ
ความพอดี พอมี และพอเพียง และไม่เคยลืมดุอาอให้ ฉันได้ลูกที่ซอและห์ เพื่อเป็น
องค์ประกอบที่สุดพิเศษในครอบครัวเสียงอาซานมักริบ จากมัสยิดในหมู่ดังกังวานไป
ทั่ว ปลุกความรู้สึกของพวกเราทุกคน ให้ต้องละทิ้งภารกิจอื่นใดทั้งปวง แม้ว่าใน
ตอนนี้ แขกเรื่อกลับไปหมดแล้ว แต่การจัดข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่เสร็จ
สิ้น และคง ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ทั้งหมด"เราค่อยมาจัดภายหลังก็แล้ว
กัน ตอนนี้ไปละหมาดกัน ก่อน" เสียงของพ่อจากในบ้าน บอกกับพวก เราในห้องโถงของ
บ้าน ฉันเห็นน้องๆ ของฉันกุลีกุจอกันปูเสื่อและผ้าสะญาดะห์ ซึ่ง ก็เป็นบรรยากาศ
ปกติภายในบ้านของฉัน เมื่อใดก็ตามแต่ที่ทุกคนกลับมาบ้านและอยู่ กันพร้อมหน้า
พร้อมตา เราก็จะละหมาดร่วมกัน นี้คือสิ่งที่ครอบครัวฉันได้ถือ ปฏิบัติเรื่อยมา
ทุกคนพร้อมในที่ละหมาดแล้ว คงเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ช้ากว่าเพื่อน และเมื่อ
ฉัน พร้อม ก็เข้าร่วมในแถวสุดท้ายร่วมกับแม่และน้องสาวน้องชายฉันอีกอมะห์เสร็จ 
พ่อก็บอกให้สามีฉันขึ้นไป เป็นอีมามนำละหมาด ตอนแรกดูเขาไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อ
เขามองหน้าฉัน และฉันก็ผงก หัวให้ เขาก็เดินขึ้นนำละหมาดทันทีหลังจากจบสิ้น
การอีญาบและกอบูล วันนี้ถือเป็นวันแรก ที่เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฉัน และวันนี้
ก็เป็นวันแรกอีกเช่นกัน ที่ฉันรู้สึกมี ความสุขมากๆ ที่ได้ละหมาดร่วมกับเขา เขา
ในฐานะอีมาม จากเสียงอ่านในละหมาดของ เขา ทำให้ฉันรู้สึกปลื้มใจจริงๆ เสียงของ
เขากังวานและชัดเจน อ่านอัลกุรอานได้ เสนาะและเพราะพริ้งมาก เหมือนคนอาหรับเลย 
บัดนี้ฉันคิดในใจว่า พ่อแม่ช่างเลือก คู่ที่ดีเหลือเกินสำหรับตัวฉัน"โอ้อัล 
เลาะห์ จงอย่าถือเป็นความผิดบาปกับความพลั้งเผลอทั้งหลายของฉันโอ้อัลเลาะห์ จง
อย่าได้มอบภาระที่หนักหน่วงให้กับ ฉัน เหมือนกับที่พระองค์ที่มอบให้กับชนในรุ่น
ก่อนๆ โอ้อัลเลาะ ห์ จงอย่าให้ฉันต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เหนือกว่าความสามารถของ
ฉันโอ้อัลเลาะห์ จงให้อภัยต่อความผิดบาปของฉัน และจงประ ทานเราะห์มัตแก่เหล่าชน
ผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิดโอ้อัลเลาะ ห์ จงประทานต่อฉัน สำหรับการเป็นภรรยาและ
สามีที่ดี ตลอดจนประทานลูก ๆ ที่ ซอและห์ และจงทำให้เราทุกคน ร่วมอยู่ ในกลุ่ม
ชนของบรรดามุตตากีน"เสียง ของเขาอ่านดุอาอ ที่ดูแล้วเต็มไปด้วยความยำเกรง หลัง
จากเสร็จการละหมาด หลังจาก นั้นเราต่างก็ยื่นมือสลามต่อกัน ฉันเริ่มจากพ่อ แม่ 
และน้องๆ ต่อจากนั้นฉันก็ เข้าประชิดตัวเขา และยื่นมือสลาม ฉันพูดกับเขาว่า "
บังมาอัฟให้กับอานีด้วย" แล้วก้มลงจูบ มือเขาเขาจูบ ที่หน้าผากฉัน แล้วพูดว่า "
โอ้ ฮาบีบี อานี ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใด ๆ กับบังนิ"พวกเรานั่งพูดคุยในที่
ละหมาดจนถึงอีซา และเมื่อ ละหมาดเสร็จ ฉันเห็นเขาลุกออกไปยังประตูบ้าน"บังจะไป
ไหน" ฉันถามเขา"ของหน้า บ้านยังจัดไม่เสร็จเลย ต้องจัดให้เสร็จก่อน" เขาตอบ
แล้ว เสียงของพ่อแทรกเข้ามา "วันนี้พักผ่อน ก่อน ค่อยจัดพรุ่งนี้ก็ได้"แต่เขา 
ยังยืนกราน "ไม่เป็นไร ยัง อีกไม่มาก จัดให้เสร็จในคืนนี้เลยก็ได้" เขาตอบกับ
พ่อฉันเข้า ห้องเปลี่ยนชุดแต่งกาย และลงไปช่วยจัดข้าวของต่างๆ ในเต็นท์ร่วมกับ
เขา ดูเขา ง่วนกับงานที่อยู่ข้างหน้ามาก ไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันเดินลงมาช่วยเขา 
ด้วย.ฉันแกล้งเดินไปชนหลังเขา เขาก็สะดุ้งสุดตัว ฉันรู้สึกว่าเขาจิตใจไม่ได้
อยู่ กับเนื้อกับตัว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากก็ได้เขาถามฉันว่า "
ลงมาตั้งแต่เมื่อไร" " ก็ 4- 5 นาทีนี้เอง มุ่งมั่นทำงานจังเลยนะ อา นีลงมาทั้ง
คนยังไม่รู้สึกอะไรเลย" ฉันตอบเขา"มาอัฟให้บัง ด้วย บังไม่รู้สึกตัวจริงๆ" เขา
ตอบกลับมา และในทันใดเขาก็เข้ามาประชิดตัวฉัน แล้วพูดว่า"อานีไม่โกรธบังนะ" พูด
จบเขาก็โอบไหล่ฉัน ฉันมองหน้าเขา และโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็หอมแก้ม ฉัน"
ไม่ได้นะ เดียวคนในบ้านจะ เห็น" ฉันห้ามเขา"ไม่เห็นจะต้องอายตรงไหนเลย ยังไงๆ 
ก็เซาะ ห์แล้ว" เขาตอบกลับและฉันก็ตอบไปในทันทีว่า "ก็ถูกต้องในสิ่งที่บังได้
ว่ามา แต่ให้ดูสถานที่ด้วย ซิ ถ้าอยู่กันแค่ 2 คน บังจะทำเกินกว่านี้อา นีก็ให้
ได้" แล้วเขาก็ หัวเราะหลังจาก ได้นิกาห์มา วันนี้ก็เป็นวันแรก ที่เราได้
คุยหยอกล้อกัน ในฐานะผู้หญิงฉันรู้สึก มีความสุขมาก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิต 
ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชาย และดูเขาก็มี ความใส่ใจกับฉันมากความสุข เช่นนี้ ไช่ว่า
ใครๆ สามารถมีได้ สุขที่ได้ร่วมชีวิตกับคนที่รัก ช่างเป็นนิอมัต ิสำคัญที่
อัลเลาะห์ได้ให้มา ยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่เซาะห์ ภายใต้บทบัญญัติทาง ศาสนาแล้ว 
ความสุขนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ชีวิตฉันไม่เคยมีความรักกับใคร แม้ ในช่วงที่
กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ที่เพื่อนๆ ฉันส่วนใหญ่เขามีกัน แต่ฉันไม่ แม้ จะมีใครมา
ทำท่าสนใจอย่างไร ฉันก็ไม่สน เพราะสิ่งที่ฉันถือปฎิบัติมาโดยตลอดก็ คือ รักแท้
จะต้องเกิดขึ้นภายหลังการนิกาห์แล้วเท่านั้นแต่ความรู้สึกในเบื้องลึกของคน คง
ยากนักที่จะอธิบาย ให้ใครได้เข้าใจ ยิ่งความรู้สึกของลูกผู้หญิง แม้วันนี้ฉัน
อยู่เคียงข้างเขา เขา คือชายผู้เป็นสามีฉัน แต่ฉันกลัว กลัวหลายอย่าง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งกับการที่ต้อง แบกรับภาระความเป็น "ภรรยาที่ซอลีหะ ฮ์" ภรรยาที่มี
เกียรติในสายตาสามี และใน บริบททางศาสนา"อานี คิดอะไรอยู่" ถึงคราวที่ฉัน ต้อง
สะดุ้งต่อ เมื่อสามีมาลูบหัวฉัน ในขณะที่ฉันเหมือนหลุดอยู่ใน ภวังค์"บัง ทำ ให้
อานีตกใจ รู้หรือเปล่า" ฉันแกล้งพูดทำ เป็นงอน ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะง้อฉันอย่าง
ไร"โอ้ ฮาบีบี แค่นั้น ก็ทำเป็นโกรธหรือ" เขาพูดแล้วหยิกแก้มฉันและฉันก็ตอบเขา
ไปว่า "คืนนี้ บังนอนใต้เตียงคู่กับยุงก็แล้วกัน เพราะภรรยาของบัง เขาไม่สบ 
อารมณ์กับบัง น่าสงสารจัง"แล้วสามีฉันก็เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดในสิ่ง
ที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน ว่า "อานี ตกลงเราจะไปฮันนี่มูนกันที่ไหน ดี?"ฉันตอบ เขา
ว่า "อานีพร้อมไปทุกที่ สุดแท้แต่บังจะพา ไป""ถ้าบังพาไปสู่ดวงดาว และดวง
จันทร์ อา นีจะตามไปกับบังไหม?" เขาตอบกับ ฉัน"ถ้าบังมีเงินมากขนาดนั้น เราไป
ตั้ง รกรากบนดาวดวงอื่นเลยดีไหม ?" ฉันตอบเขา แล้วเขาก็หัวเราะเมื่อจบ เสียง
หัวเราะเขาก็ถามฉันต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความใส่ใจว่า "ยาฮาบีบี ตกลงเราจะ
มีลูกกันกี่คน""แล้วบังต้องการกี่คนล่ะ" ฉันถามเขาต่อ"บังต้องการ ให้มากที่สุด 
ว่าแต่อานีจะไหวหรือ?""เอ๊ะ บังเห็นอานีเป็นโรงงานผลิตลูกหรือ ไง?" ฉันตอบเขา 
แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้ง หนึ่ง ฉันดูเขาช่างเป็นคนที่หัวเราะง่ายจังเลยแล้วเขา
ก็ตอบฉันว่า "ไม่ได้หมายถึง อย่างนั้น เพียงแต่ว่าถ้าได้ลูกหลายๆ คนก็จะดี บัง
อยากได้ลูกหลายคน ทั้งลูกชาย และลูกสาว อยากมีให้เท่าๆ กันฉันตอบเขา ว่า "อินซา
อัลเลาะห์ถ้ามีริสกี อานีก็ พร้อม"เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็เห็นสามีฉันยิ้ม ระรื่น 
แล้วพูดว่า "นี้แหละที่ทำให้ บังเพิ่มความรู้สึกรัก และหวงต่ออานีเป็นกองเลย" 
พูดจบเขาก็หอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่งนิอมัตสำคัญของการเป็นลูกผู้หญิงก็คือการได้
รับความ รัก อย่างเต็มเปี่ยมจากผู้เป็นสามี ยิ่งคนดีๆ อย่างเขา ทำให้ฉันเหมือน
หลุดไป อยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ผีเสื้อ ลำธาร น้ำผึ้ง บุหงา 
ลดา มาลย์ และมีลมโชยพัดโรยระริน เป็นอาจิณตลอดกาล..."อานี บัง ขึ้นมาทาน ข้าว
ก่อน" เสียงของแม่ดังมาจากบนบ้าน เรียกเรา สองคนให้ขึ้นไปทานอาหารมื้อค่ำ ฉัน
จูงมือ สามี เดินขึ้นบ้าน พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารพร้อมไว้แล้ว ทั้งพ่อและน้องๆ 
ก็นั่ง กันพร้อมหน้าอาหาร มื้อนี้คงจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุด เพราะนอกจากจะหิว
มากๆ แล้ว เพราะต้องดูแลแขก ที่มาในงาน เป็นงานแรกของบ้านนี้ แม้ไม่ได้จัดอย่าง
ใหญ่โต แต่เพื่อนๆ ฉันทุกคน ที่ทราบข่าว ต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีขาด
เลยแม้ซักคนเดียว ฉันรู้สึก ประทับใจกับเพื่อนๆ จริง และที่ สำคัญมื้อนี้ก็เป็น
มื้อแรกที่ได้ทานร่วมกับเขา และทุกคนในครอบครัว ช่างเป็นมื้อ ที่พิเศษ
จริงๆ .................ในห้องของฉัน ซึ่งฉันเป็นคนจัดเองทั้งหมด ฉันดูแล้ว ก็
สวยงามใช่ย่อยเลย ฉันอดจะภูมิใจในฝีมือของตนเองไม่ได้ และห้องนี้ก็คือห้องของ 
ฉันกับเขาในคืนแรกนี้ คืนที่น่าจะเป็นคืนที่สวยงามที่สุดและพิเศษที่สุดสำหรับ 
ชีวิตของสามีภรรยา ในคืนแรก ของฉันกับชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ฉันรู้สึก
กลัว และ รู้สึกใจเต้นไม่เป็น ปกติ พะวักพะวงกับสิ่งที่ต้องเป็นไป ฉันไม่รู้จะ
ทำอย่างไรต่อไป และแล้วเสียงเคาะประตูห้องฉันก็ดังขึ้น ซึ่งก็เพิ่ม ความรู้สึก
พะวักพะวง ตื่นเต้นและตกใจสำหรับฉันมากขึ้น แน่นอนคนที่เข้ามาก็ไม่ ไช่ใครที่
ไหน หากแต่เขา สามีฉัน"เชิญ เข้ามาประตูไม่ได้ล๊อค" ฉันบอกเขา ไปเขาเข้ามาและ
ปิดประตูห้องเบาๆ แล้วก็ ลงนั่งใกล้ฉัน คำแรกที่เขาเอ๋ยกับฉัน "ทำไมดูซึมเศร้า 
ไม่ดีใจหรือที่ได้อยู่กับบัง" ฉันทำได้แค่ส่ายหัว เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่
เขา ก็พยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ สุดท้ายฉันก็ตอบไปว่า "อานีกลัวบัง"เขา
เข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น และเอาลูบไล้ผมของ ฉัน "มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวจากบัง 
หรือ? เราจะต้องช่วย และร่วมมือกันเพื่อครอบ ครัวสากีนะห์" เขาพยายามปลอบ 
ประโลมฉัน ฉันตอบ เขาไปว่า "อานีกลัวว่าอานีไม่สามารถทำหน้าที่ ภรรยาที่ดีของ
บังได้ อานีอ่อนแอในหลายๆ อย่าง อานีคิดว่าซักวันหนึ่งบังจะรับอา นีไม่ได้ อา
นีกลัว...." ไม่ทันที่ ฉันจะพูดจบเขาก็เอานิ้วมาแตะปากฉัน ไม่อนุญาตให้ฉันได้
พูดอีกต่อไป"ยาฮาบีบี วันนี้อานีในฐานะภรรยาของบัง บังรับใน ทุกอย่างจากอานี
เท่าที่อานีมี บังรับทุกอย่างจากสิ่งดีในตัวของอานี ซึ่งก็เท่า กับที่บังต้อง
รับทุกๆ อย่างจากความอ่อนด้อยในตัวของอานี จึงอย่าได้คิดอะไรมาก เลยกับเรื่อง
ของชีวิต และอย่าได้กังวลว่าบังจะไม่พอใจใดๆ กับอานี" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่
อ่อนโยน และแสดงความใส่ใจอย่าง สุดซึ้งและฉันก็ สนองตอบในสิ่งที่เสนอมา"อานี 
บังต้องขอไปอาบน้ำก่อน เพราะรู้สึกเหนียวตัว" เขาบอกกับฉัน และฉันก็ลุกขึ้นไป
เอาผ้าขนหนู และผ้าโสร่งในตู้ หยิบให้ เขาเขารับ ผ้าขนหนูไป ด้วยใบหน้าที่ยิ้ม
แย้มแจ่มใส แต่ก่อนที่เดินเข้าห้องน้ำ เขาก็ก้มลง หอมแก้มฉันอีกครั้งหนึ่งคืน
นี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ก้อนเมฆหนาทึบบดบังทั้งแสงจันทร์และดวงดาว เสียง สัตว์กลาง
คืนเงียบหายไป มีแต่เสียงฟ้าร้อง จากที่ไกลๆ ผ่านห้องฉันเข้ามา อีกไม่ นานฝนคง
จะตกลงมา เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผืนดินและทุกสรรพสิ่งบนโลก นี้ฉันเพ่ง 
พินิจไปในทุกส่วนของห้องนอนของฉัน ที่ฉันจัดและตกแต่งด้วยตนเองเท่าที่ความ 
สามารถของตัวเองทำได้ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องน้ำฉันได้จัดเตรียมชุดนอนให้เขา 
และฉันเองก็เปลี่ยนชุดแต่งกายของตนเองรอสามี ด้วยใจที่เต้นอย่างไม่เป็น จังหวะ
แล้วซัก ครู่เขาก็ออกมาจากห้องน้ำ เขายิ้มมายังฉัน แล้วพูดว่า "โอ้ฮาบีบี ช่วย
เอาน้ำให้บังซักแก้วซิ หิวน้ำเหลือ เกิน" ฉัน หยิบชุดนอนให้กับเขา แล้วออกไปเอา
น้ำจากในห้องครัว ฉันเหลือบไปดูนาฬิกาบนเพดาน ปรากฏว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว 
เมื่อเข้าห้องอีกครั้งหนึ่ง ฉันเห็นเขานั่งดุอา อบนสาญาดะห์ ด้วยถ้อยคำบางอย่าง
ทีฉันไม่สามารถได้ยินได้ฉันนั่งรอเขาบนเตียง รอจนกว่าเขาจะดุอาอเสร็จ และ เมื่อ
เสร็จแล้วเขาก็ลุกขึ้นมานั่งชิดกับฉัน แล้วฉันก็ยื่นแก้วน้ำให้กับ เขา" 
บัง..." ฉันเรียกเขา"มีอะไรหรือ" เขาตอบกลับฉันนิ่ง อยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็จับ
จ้องมายังฉัน และใช้สายตาเพื่อคาดคั้นให้ฉันพูดออมา ให้ได้"คืนนี้ บังจะ...
จะ.." ฉันรู้สึกขัดเขินใจอย่างยิ่งที่จะพูดต่อให้จบ"จะอะไรหรือ" เขาถามฉัน"โอ้
บัง นิ.." ฉันรู้สึกอายตนเอง เมื่อคิดว่าเขาคง อ่านความคิดของฉันออกแล้วแล้ว
เขา ก็กระซิบข้างหูฉันว่า "ไช่ซิ คืนนี้ จะ เป็นคืนที่พิเศษที่สุดสำหรับเราสอง
คน"ฉันทำได้เพียงผงกหัวเบาๆ ด้วยคิดอยู่ในใจว่าในฐานะ ภรรยา ก็ต้องพร้อมสำหรับ
สิ่งที่เป็นความต้องการของสามี ฉันต้องพร้อมทั้งกายและ เพื่อเขา ที่ไม่ขัดแย้ง
กับหลักซารีอะห์"อัสสาลามูอาลัยกุม โอ้ประตูแห่งเราะ ห์มัต" เขากระซิบเบาๆ ข้าง
หูฉันและในทันใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า "วาอาลัยกุมุสลาม สำหรับผู้ถือสิทธิที่มี 
เกียรติ" 
ครั้งแรกในชีวิตฉันที่ได้ผ่าน บรรยากาศในยามค่ำคืนกับคนที่เป็นสามี
  >ตัว ฉันคง>เปรียบได้เสมือนท้องนา ที่เขาในฐานะผุ้ถือ กรรมสิทธิ์ >ที่มาปัก
และดำหว่าน...>>ก่อน การแต่งงานฉันได้อ่านตำรับตำราที่ >เกี่ยวกับการดำรง ชีวิต
คู่หลายต่อหลายเล่ม>  ฉัน จึงพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มา >นำไปสู่
การปฏิบัติ ให้ได้>>ฉันจะต้องเป็นภรรยาที่ดีที่สุดสำหรับสามี ฉัน>ฉันต้องทำให้
สามีมีความสุขที่สุดที่ได้มาอยู่กับ ฉัน>ฉันต้องเป็นเสมือนหนึ่งราชินีในบ้านที่
ผูกพันทั้งกาย และใจสำหรับผู้เป็นสามี>>ท่าน ศาสดากล่าวว่า  >" ภรรยาที่ดีก็คือ
คนที่สามารถสร้างความสงบในสติอารมณ์ให้กับ> เจ้าได้ เมื่อเจ้าได้มองไปยังเธอ 
เธอต้องมีความภักดีต่อเจ้า >เธอ หมั่นดูแลและ>รักษาตนเอง และทรัพย์สินของเจ้า
เมื่อเจ้าไม่ อยู่">>ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า  "เหล่าสตรี นั้นคือผู้ดูแลในบ้าน
ของสามี >และสิ่งนี้จะถูก ถาม">>ท่านศาสดา ได้กล่าวไว้ว่า  >"ภรรยาที่ดีก็คือ
สิ่งที่ดีเลิศที่สุดเหนือสิ่งที่มี>คุณ ค่าใด ๆ ในโลกนี้">ท่าน ศาสดา ได้ กล่าว
ไว้ว่า   "แท้จริงแล้ว สตรีที่ดี >ก็คือสตรีที่สามารถให้ลูก สตรีที่ยิ่งใหญ่ใน
ความ รัก >สตรีที่สามารถรักษาเรื่องราวภายในครัวเรือนได้ สตรี>ที่มีจิตใจอ่อน
โยนกับทุกเรื่องราวในครอบครัว สตรีที่ เคารพในตัวสามี >สตรีที่หมั่นดูแลตนเอง
เพื่อสามี สตรีที่ควบคุมตนเอง ในการติดต่อใด ๆกับชายอื่น....">>แท้ จริงแล้ว 
การแต่งงาน และการมีครอบครัว หาไช่เป็นเรื่องเล็กน้อย >ที่ ใครๆ สามารถทำเป็น
เรื่องธรรมดา ได้  การแต่งงานถือ เป็นการฮาลาล >สำหรับสิ่งที่เคยหะรอมสำหรับ
ก่อนหน้า นั้น  >สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจอย่างถึงแก่น ในครอบครัว
จำเป็นที่จะต้องมีความอ่อนโยน โอนอ่อนผ่อนปรน >และ มีความเชื่อมั่นในระหว่างกัน
  ถ้าไม่ไช่ เพราะสิ่งนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนทั้งสองเพศที่มาจากที่ต่าง
กัน บุคลิกภาพ ที่ไม่เหมือนกัน พื้นฐานทางการเลี้ยงดู การอบรมและการศึกษาที่
ต่างกัน จะมาใช้ ชีวิตร่วมกันได้  เพราะการดำรง ชีวิตครอบครัว >ก็ไม่ต่างอะไร
กับการล่องเรือในมหาสมุทร ที่ไช่ว่า ท้องทะเลจะราบเรียบตลอดเวลา >บางช่วงบางตอน
ก็ ต้องเจอกับคลื่นลมและมรสุม ...>>ก่อน ถึงวันนั้น อันเป็นช่วงจังหวะตอนที่
สำคัญของชีวิต >เราจึงต้องศึกษาใน หลายๆ วิชาความรู้ ความรู้ที่เกี่ยวกับครอบ
ครัว >ความรู้ที่เกี่ยว กับการเป็นพ่อเป็นแม่ ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตวิทยาของ
เด็ก ๆ ฯลฯ  >จึงอย่าได้มีใครที่คิดเรื่องนี้ แต่ไม่พร้อมที่รับผิดชอบใน
ทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราและชีวิตของคนที่จะมาร่วมเคียงข้างเรา>>
เราอย่าได้คิดถึงเรื่องของ การสนองนัฟซูอย่างเดียว >เรา ต้องคิดถึงความรับผิด
ชอบที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งในฐานะสามี ในฐานะภรรยา ในฐานะ พ่อ และในฐานะแม่  >
เรา สามารถรับผิดชอบในทุกเรื่องเหล่านี้ได้ไหม  >ซึ่ง เป็นความรับผิดชอบทั้งใน
ดนยาและต่อเบื้องหน้าของอัลเลาะห์ในวัน อาคีเราะ ห์>>ความรับผิดชอบเหล่านั้น 
ถือเป็นอามานะห์ ที่ทุกคนมิ อาจจะละเลยได้>เสียงไอ ดังอย่างต่อเนื่องข้างเตียง
ฉัน ปลุกให้ฉัน ตื่นขึ้นมา >หลังจากที่หลับได้ไม่นาน ในคืนแรกคู่กับสามีฉัน 
เมื่อลืมตาขึ้นมา  >ฉันก็ เห็นเขานั่งอยู่บนซาญาดะห์ พร้อมกับอาการไอ ไม่หยุด
   ฉันดูแล้ว รู้สึกผิดปกติอย่างยิ่งอาการที่เกิดขึ้นนี้คงไม่ไช่เล็กน้อย ฉัน
เห็นเขาเอามือ บีบที่หน้าอก ฉันลุกขึ้นมาลงจากเตียงแล้วเข้าไปใกล้เขา>>"บังเป็น
อะไรนิ"  ฉันถามเขา และรู้สึกกังวลมาก เกรงว่าเขาจะมีโรคอะไรที่ฉันยังไม่รู้>>"
บังไม่ได้เป็นอะไรมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวไปก็ ได้"  >เขาตอบฉัน>>เรา
เงียบ ชั่วเวลาหนึ่ง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า  "อานีไปอาบน้ำ เถิด >พ่อแม่ และ
น้องๆ กำลังรอละหมาดพร้อมกับเราข้าง นอก">>เขาบอกกับฉันแล้วยิ้ม พร้อมกับเพ่ง
มองมาที่ตัวฉัน ทำ เอาฉันต้องอาย >และหลุดคำพูดออกไปว่า  "ทะลึ่งจริงๆ เลยบัง
นิ">ในตอนที่ฉันยังอยู่ในห้องน้ำ ก็ยังได้ยินเสียงไอจาก เขาอยู่>>ใน ที่ละหมาด
ของบ้าน >คุณพ่อฉันขยั้นขยอ ให้เขาเป็นอีมามนำการละหมาดอีกต่อไป แม้>เขาจะบ่าย
เบี่ยง โดยอ้างถึงสุขภาพก็ตาม >แต่พ่อฉันก็ยืน กรานให้เขานำละหมาดให้ได้ สุด
ท้ายเขาก็ต้องยอมตามพ่อฉัน>>ใน ตอนละหมาด ซึ่งเป็นไปอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก 
เพราะเขายังไอไม่ หยุด >ทำให้การอ่านซูเราะห์ขาดหายไปบ้าง บางครั้งก็ต้อง เริ่ม
อ่านใหม่  >ฉัน เริ่มกังวลมากขึ้น>>ละหมาด เสร็จเขาอ่านดุอา ถึงแม้เสียงเขาตอน
นี้จะเบามาก แต่ฉันก็พอได้ยิน >ฉัน ดูหน้าเขาค่อนข้างจะซีด  ฉันถามถึง อาการของ
เขาอีกครั้ง  >แต่ เขาก็ยังยืนยันไม่ได้>เป็นอะไรมาก โดย อ้างถึงอากาศที่ค่อน
ข้างจะหนาวมากเมื่อคืนนี้>>คุณพ่อและ แม่ฉันก็ดูกังวลไม่ต่างกัน  >แม่ บอกให้
ฉันเอายาแก้ไอจากตู้ยาในบ้านมาให้เขา>>ฉันป้อนยา น้ำสำหรับแก้ไอให้เขา และให้
เขาดื่มน้ำตาม  เขากล่าวขอบ คุณ  >แล้วฉันก็บอกเขาให้เข้าห้องเพื่อพัก ผ่อน>>
แต่ก่อนที่เขาจะเอนกายนอน เขาพูดกับฉัน ว่า  "บังขอมาอัฟด้วยที่สร้างภาระให้กับ
อานี">"ทำไมบังพูด เช่นนั้น อานีไม่ได้ลำบากอะไรเลย แม้ซักนิดเดียว"  >ฉันตอบ
เขา>>เขา ตอบฉันว่า  "บังรู้ว่า >อานี ต้องลำบากใจไม่น้อยกับอาการของบังที่ต้อง
เป็น>อย่างนี้   ที่จริงแล้ว สำหรับวันแรกนี้ >บัง ต้องทำให้อานีมีความ
สุขมากกว่านี้   แต่เมื่อสุขภาพไม่เอื้ออำนวย >บัง ต้องขอโทษด้วย">>"ไม่เป็นไร
หรอกบัง อานีในฐานะภรรยา >อานีต้องพร้อมเสมอสำหรับทุกอย่างจาก บัง"  ฉันตอบ
เพื่อเอาใจ เขา >แม้ว่าในส่วนลึกของใจฉัน มีความ รู้สึกที่วิตกกังวลอย่าง> 
ยิ่ง>>เขาคงเห็นถึงความกังวลของฉัน เขาพูดว่า  "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น >บังคนนี้
รักอานี>เสมอ   อานีคือหนึ่งเดียวในใจบัง"  ฉันบอกเขาอีกว่า "นอนเถิด บัง >ไม่
ต้องกังวลถึงอา นีหรอก"  แล้วฉันก็ดึงผ้าเอามา>ห่ม ตัวเขา และก้มลงจูบที่หน้า
ผาก>>ฉันดูเขาทำท่าจะเหนื่อยเอามากๆ ก่อนที่เขาจะหลับ >ฉันได้ยินเขาพูดพึมพำไม่
ค่อยจะ>ได้ความนัก แต่ที่ชัดเจนก็คือ ให้ฉันมาอัฟให้กับ เขา>>ฉัน มองหน้าสามี
อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก   ในตอนที่เขาหลับ >ในท่าที่สงบและเรียบ>ร้อย ฉัน
รู้สึกมีความสุขมากที่ได้มองไปยัง เขา  >หน้าตาของเขาอยู่ในขั้นดีมาก ๆ  ใบ
หน้าที่ผ่องใส >ทั้งหนวดและเคราถูกดูแลอย่างดี อารมณ์ของลูก ผู้หญิงเช่นฉัน 
บอก>กับ ฉันว่า ประทับใจจริงๆ และรู้สึกชอบเขามากๆ>>ก่อนที่จะลุกออกจากเตียง 
ฉันไม่ลืมที่จะดุอาอต่อ อัลเลาะห์ >ขอ ให้ชีวิตครอบครัว>ฉัน จงมั่นคง และ
ยั่งยืนตลอดชั่วชีวิต>>แต่ ตักดีรจากอัลเลาะห์ ไม่มีใครสามารถฝืนได้   กอฎอและ
กอดัรจากพระองค์ >คือสิ่ง>ที่ มนุษย์ทุกคนจะต้องยอมรับ ทั้งเกิด ตาย ริสกี ดี
และชั่ว >ของแต่ละบุคคล เป็น>สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วนับตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง
ของ มารดา>>ฉัน ในฐานะบ่าวของพระองค์ที่อ่อนแอ >จะต้องยอมรับกับสิ่งที่ถูกกำหนด
ไว้แล้วนี้ ด้วยไจ ที่สงบ >และเต็มไปด้วยความภักดีต่ออัลเลาะ ห์ อย่างไม่คลอน
แคลน>>>ใน >ตอน ที่ฉันปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเพื่อทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคนใน
ครอบ ครัว >หลาย>ครั้งที่ฉันเรียกชื่อเขา แต่เขาเงียบ ฉันจับและ เขย่าตัวเขา
เบาๆ ก็ไม่มี> ปฏิกิริยาใด ๆ ฉันเขย่าแรงขึ้น เขาก็เงียบ ฉันจับมือเขา เย็น 
เชียบ >จับชีพจร ก็>เงียบ>>"ม๊ะ"  ฉันเรียกแม่สุดเสียง แล้วฉันก็ร้องให้ >ด้วย
ใจที่รวดร้าวสุดที่จะควบคุมตน>เองไว้ได้>>ทุกคนเข้ามาในห้อง และมองไปยังเขา >
กับร่างกายที่วิญญาณถูกปลิดปลิวไป แล้ว>>ใครจะไปคาดคิดว่า วันแรกที่ฉันได้อยู่
กับสามีที่เพิ่งจะได้ รู้จัก  >จะเป็นวันสุด>ท้ายด้วย>>ฉันได้รู้จักเขาเพียง
เวลาไม่กี่ชั่วโมง  >แต่เขาได้จากฉันไปตลอดชีวิตแล้ว  มิน่า>ล่ะ เขาถึงได้ขอมา
อัฟจากฉันหลายครั้ง>"จง ซูโกรต่ออัลเลาะห์เถิดอานี เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ยังมี
เด็กคนนี้"   >แม่พูด>เพื่อปลอบใจฉัน ในวันนี้ วันที่ฉันคลอดลูกคน นี้ >ลูกของ
เขาที่ได้จากฉันเมื่อ หลาย>เดือนที่แล้ว วันนี้ทายาทจากสามี ฉันลืมตาดูโลกนี้>>
ฉันมองไปยังลูกชายของฉัน ที่หลับสนิทข้างกายฉัน.  >นี้แหละตักดีรจากอัลเลาะห์ 
แค่คืน แรก ทุกอย่างก็ลงเอยอย่างนี้   >แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ฉันจะ 
โอบ>อุ้ม ปกป้องและคุ้มครองเด็กน้อยคน นี้ เท่าชีวิตของฉัน >จะ ไม่มีสิ่งใดมา
ขวางกั้น>หรือ มาบั่นทอนรักที่ฉันมีให้ลูกนี้ ตราบเท่าจบสิ้นชีวิตดนยาของฉัน.>
โอ้ อัลเลาะห์ จงนำวิญญานเขาให้ได้อยู่คู่กับเหล่า ซอลีฮีน>โอ้ อัลเลาะห์ จงให้
ลูกชายฉันคน นี้ >เป็นเสมือนอัญมณีคู่กับทุกคนใน ครอบครัวฉัน ให้ความสุขกับฉัน 
และทุกคนใน>          & nbsp;        ครอบครัว>โอ้ อัลเลาะห์ จงให้ความรักและ
คุ้มครองต่อลูกฉัน นี้ >จงให้เหมือนกับพ่อเขา ที่>ภักดีต่อพระองค์เสมอ>โอ้ อัล
เลาะห์ จงให้ลูกฉันคนนี้ >จงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อศาสนาของพระองค์ และ>ร่วม
อุทิศตัวเองเพื่อความสว่าง ไสว>           ของอิสลาม>>อามีน.
read more...