This is Islam

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ facts.. สาระดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ facts.. สาระดี แสดงบทความทั้งหมด

9/16/2553

เพียงเพราะว่า "เราคือมุสลิมหรือ"?‏











read more...

กี่ขั้นบันไดจึงจะถึงสวรรค์

กี่ขั้นบันไดจึงจะถึงสวรรค์
โดย อ.ยะหยา หมัดละ
          การเตือนตนเอง การแนะนำไปสู่คุณงามความดี แด่ผู้ที่เป็นที่รักและครอบครัว คำสอนที่เป็นทุนในสังคมมุสลิมมีอยู่แล้ว ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคปัจจุบัน
ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้เตือนบุตรสาวสุดที่รักของท่านว่า
"โอ้ ฟาฏิมะฮ์ บุตรสาวของมุฮัมมัด เธอจงทำตัวให้พ้นจากไฟนรกเถิด ฉันไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆที่จะช่วยเหลือเธอในเรื่องของอัลลอฮ์ได้เลย แม่แต่น้อย"
และท่านนะบีได้สั่งเสียลูกชายของลุงของท่าน (อับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส) ขณะขี่สัตว์พาหนะมาด้วยกัน ท่านกล่าวว่า
"โอ้ หนุ่มน้อย ฉันจะบอกเจ้าถึงเรื่อง ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงให้เจ้าได้รับคุณค่ามากมาย หากเจ้าปฏิบัติตาม เจ้าจะเอาหรือไม่ ? ท่านอับดุลลอฮ์ กล่าวว่า เอาสิครับ โอ้ ท่านเราะซูล ท่านจึงกล่าวว่า จงรักษา(ศาสนา)อัลลอฮ์เถิด อัลลอฮ์จะทรงรักษาตัวของเจ้า จงรักษา(ศาสนาของ)อัลลอฮ์เถิด เจ้าจะพบอัลลอฮ์อยู่ต่อหน้าเจ้า(ปกป้องคุ้มครอง) จงรู้จัก(อยู่ในขอบเขตของ)อัลลอฮ์ ในยามสุข อัลลอฮ์จะทรงช่วยเหลือเจ้า  ในยามทุกข์ เมื่อเจ้าขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด จงขอต่ออัลลอฮ์ เมื่อเจ้าขอความช่วยเหลือ ก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ ปากกาที่เขียนจารึกนั้น น้ำหมึกได้แห้งแล้ว บันทึกสิ่งใดไว้ต้องเป็นไปตามนั้น หากมนุษย์ทั้งโลกมุ่งร้ายต่อเจ้า เจ้าจะไม่ได้รับอันตราย นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบันทึกไว้ พึงทราบเถิดการอดทนในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบนั้น มีสิ่งดีๆแฝงอยู่มากมาย แท้จริง ชัยชนะนั้นกว่าจะได้มาต้องมีความอดทน การพ้นทุกข์นั้น กว่าจะเกิดขึ้นต้องผ่านการทุกข์ยากมากมาย สิ่งง่ายดายนั้นกว่าจะถึงต้องพบกับความยุ่งยากมาก่อน"
          พระองค์ทรงบัญญัติให้เราปฏิบัติสิ่งต่างๆ เราต้องปฏิบัติ อย่าลืมว่ามีมลาอิกะฮ์ ทั้งซ้ายและขวาคอยจดบันทึกคำพูด แลการกระทำของเราตลอดเวลา ไม่มีการกระทำใดๆที่รอดพ้นจากการถูกบันทึก ทุกคนเดินเข้าหาความตายอยู่ทุกวัน และเวลาสำหรับชีวิตในโลกนี้นั้นแสนสั้น ชีวิตในกบูร(หลุมฝังศพ) ตามชนิดของการฝ่าฝืนที่ได้กระทำไว้
          ความเกียจคร้านในการประกอบความดี เป็นเพื่อนที่ขี้เหร่ที่สุดที่ไม่น่าคบค้าสมาคม การชอบความสุขสำราญในโลกนี้ อาจนำพาไปสู่ความเสียใจภายภาคหน้า (อาคิเราะฮ์)
         คนเราจะไม่บรรลุความดี เว้นแต่การเชื่อฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์ และเราะซูล จะไม่หลุดลอยออกจากความดี เว้นแต่รฝ่าฝืน อัลลอฮ์ และเราะซูล
         ทุกคนต้องเป็นผู้ที่เตือนตัวเองอยู่เสมอ และเสียใจต่อความผิดพลาดในอดีต จงขยันหมั่นเพียรปฏิบัติทั้งดุนยา และอาคิเราะฮ์ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในส่วนของวันเวลาแห่งชีวิตในโลกดุนยาที่เหลืออยู่อีกไม่นานนัก
         ท่านอิบรอฮีม อิบนุ อัดฮัม เล่าไว้ว่า
"ฉันเคยไปเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนดี ทำอะมัลอิบาดะฮ์ประจำสม่ำเสมอ เขาป่วย และเมื่อเขามองดูขาทั้งสองของเขาแล้ว ก็ร้องไห้ ฉันถามว่าร้องไห้ทำไม ? เขาตอบว่า ต่อไปนี้ขาทั้งสองข้างขอฉันคงไม่สามารถเปื้อนฝุ่น ย่ำไปในหนทางของอัลลอฮ์ได้อีกแล้ว และฉันเคยไปเยี่ยมผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนซอและฮ์ เมือพบกัน เขาก็ร้องไห้ ฉันถามว่าร้องไห้ทำไม ? เขาตอบว่า บัดนี้วันหนึ่งผ่านพ้นไป ฉันถือศีลอดซุนนะฮ์ไม่ไหวแล้ว ยามดึกค่อนคืนผ่านไป ฉันทำละหมาดตะฮัจญุดไม่ไหวแล้ว"
         หากพิจารณา วันเวลาแห่งการดำเนินชีวิตในโลกนี้ คนเราจะมีอายุคนละกี่ปี ? (ท่านนะบี  เคยกล่าวว่า อุมมะฮ์ ของฉันจะมีอายุระหว่าง 60-70 ปี) ในช่วงเด็กก็หมดไปแล้ว 15 ปี ส่วนที่เหลืออยู่ไม่มาก เอาไปใช้ในทางไหนบ้าง ? เที่ยวเตร่หาความสำราญ ? เราใช้ในหนทางการเตรียมเสบียงสู่วันอาคิเราะฮ์สักเท่าไหร่ ?
1. ชีวิตในโลกดุนยานี้
          การมีชีวิตในโลกดุนยานี้มิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นความสุขที่หลอกลวงระยะสั้น ชั่วคราวเท่านั้น เราจะยึดติดกับชีวิตในโลกดุนยาได้อย่างไร ? เมื่อมันจะสูญสลายในไม่ช้า ผู้ใดหวังเก็บเกี่ยวทรัพย์สิน ลาภยศสรรเสริญในโลกดุนยา อัลลอฮ์จะทรงให้เขาทุกอย่าง แต่ในโลกอาคิเราะฮ์ เขาจไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใดๆเลย
2. เข้าหลุมฝังศพ (ก๊อบบูร)
          อนาคตในก๊อบบูรจะเป็นอย่างไร? เมื่อสิ้นชีวิตเราต้องไปอยู่ในหลุมฝังศพ หรับผู้ศรัทธาที่ดี มีการงานที่ดีเป็นเสบียงตระเตรียมไว้ตั้งแต่มีชีวิตในโลกดุนยา เขาจะได้รับความเมตตา ความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ สำหรับผู้ศรัทธาที่ฝ่าฝืนเขาจะถูกลงโทษ ดังนั้น ก๊อบบูร(หลุมศพ) ของเราจะเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสวนสวรรค์ หรือ อาจจะเป็นหลุมหนึ่งจากนรก
ใครบ้างจะถูกลงโทษในก๊อบบูร ?
         ผู้ที่ปัสสาวะเสร็จแล้วไม่ทำความสะอาดอย่างดี ปล่อยให้เปื้อนเสื้อผ้า และร่างกาย ผู้ที่ชอบนินทาติเตียนลับหลัง กล่าววาจาจาบจ้วง กล่าวร้ายผู้อื่น ผู้ที่ละเลยการอ่านอัลกุรอาน ผู้ที่ทำซินา(ผิดประเวณี) ผู้ที่กินดอกเบี้ย จ่ายดอกเบี้ย โกงหนี้สิน อื่นๆ
3. วันเป่าสังข์ของมลาอิกะฮ์ (อิสรอฟิล)
         เราจะอยู่ในหลุมศพเรื่อยไป จนกระทั่งถึงวันเป่าสังข์ มลาอิกะฮ์อิสรอฟิล เป็นผู้ทำหน้าที่นี้ เมื่อเป่าครั้งแรก ผู้ที่ยังไม่ตายจะล้มตายลง เมื่อเป่าครั้งที่สอง มนุษย์ทั้งหมดจะลุกขึ้นจากก๊อบบูร ฟื้นคืนชีพ ชีวิตกลับสู่เรือนร่าง มีทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนเดิมทุกประการ รอคอยการสอบสวนทีจะมาถึงในไม่ช้า
          การเป่าสังข์ครั้งที่สองห่างกันเท่าใด ? "ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่า ทานนะบี  กล่าวว่า ระหว่างการเป่าสังข์ครั้งแรกกับครั้งที่สองนั้นห่างกัน 40.... บรรดาศอฮะบะฮ์ ถามว่า 40 เดือนใช่หรือไม่ ? อบูฮุรอยเราะฮ์ ตอบว่า ฉันไม่ยืนยัน บรรดาศอฮะบะฮ์ ถามอีกว่า 40 ปี ใช่หรือไม่ ?  อบูฮุรอยเราะฮ์ ตอบว่า ฉันไม่ยืนยัน" 
และท่านนะบียังกล่าวอีกว่า "ก่อนที่มลาอิกะฮ์อิสรอฟิลจะเป่าสังข์ครั้งที่สองนั้น อัลลอฮ์จะทรงให้ฝนกระหน่ำตกลงมา เพื่อให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพ"
4. วันฟื้นคืนชีพ
         วันนั้นอัลลอฮ์ จะทรงให้ทุกคนฟื้นคืชีพอีกครั้ง เพื่อจะตอบแทนการงานที่เขาขวนขวายไว้ การฟื้นครั้งนี้มนุษย์จะไม่มีการตายอีกต่อไป ถึงแม้จะถูกลงโทษสถานหนักเท่าใดก็ตาม และบุคคลแรกที่จะฟื้นในวันนั้น คือ ท่านนะบีมุฮัมมัด ทุกคนจะฟื้นขึ้นมาในสภาพที่เปลือยเปล่า และผู้ที่ตายชะฮีดจะฟื้นขึ้นในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผล รอยเลือด สีเลือด แต่กลิ่นนั้นจะหอมยิ่งกว่ากลิ่นของชะมดเชียง มนุษย์จะฟื้นขึ้นมาด้วยกระดูกชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า อุญบุซซะนับ เมื่อฝนหลั่งลงมา มนุษย์ก็จะฟื้นขึ้น เหมือนพืชผักที่งอกงาม
5. วันชุมนุมเพื่อรอการสอบสวน และตัดสิน
          ในวันนั้น มนุษย์จะถูกนำไปชุมนุมกัน ในดินแดนแห่งใหม่ พื้นดินมีสีขาวโล่งเตียน ไม่มีภูเขา หรือโขดหินใดๆ (วันหนึ่งยาวนานเท่ากับ 500,000 ปีในโลกดุนยา) สภาพของผู้ฝ่าฝืน เช่น ไม่ชำระซะกาต ในวันนั้นทรัพย์ของเขาจะเป็นงูใหญ่มาพันรอบคอ ผู้ที่อวดใหญ่ อวดโต ในวันนั้น จะมาชุมนุมในสภาพที่ตัวเล็ก ไปทางไหนใครๆก็หยาม สำหรับผู้ที่ยำเกรงอัลลอฮ์ เขาจะไม่กลัวและไม่ตกใจ
         ท่านนะบี  จะขอชะฟาอะฮ์ ช่วยเหลือ อุมมะฮ์ ประชาชาติของท่าน ในวันนั้น ท่านนะบี  จะขอความช่วยเหลือให้ผู้ศรัทธาที่ฝ่าฝืน หลุดพ้นจากนรกและเข้าสวรรค์ ทั้งนี้ต้องอยู่ในเงื่อนไขสองประการคือ ต้องได้รับอนุมัติจากอัลลอฮ์ ต้องเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยเท่านั้น
6. การสอบสวน
          บ่าวของอัลลอฮ์ จะยืนขึ้นต่อหน้าพระองค์ และพระองค์ก็ทรงบอกให้ทราบถึงการงานของเขาที่ได้กระทำไว้ คำพูดของเขาที่เคยพูดไว้ การดำเนินชีวิตของเขาในโลกดุนยา การศรัทธา การปฏิเสธศรัทธา การยึดมั่นในหนทางที่เที่ยงตรง และการล่วงละเมิด บ่าวจะถูกถามถึงการมีชีวิตของเขาว่าใช้ไปทางใด? การอยู่ในช่วงชีวิตของวัยหนุ่มสาว ? ทรัพย์สินใช้จ่ายไปในหนทางใด ? ความรู้ที่มีก่อประโยชน์หรือไม่ ?
         ประชาชาติของท่านนะบี  จะได้รับการสอบสวนก่อน และเรื่องแรกที่จะถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิทธิของอัลลอฮ์ คือ การละหมาด สำหรับเรื่องแรกที่จะสอบสวนเกี่ยวกับสิทธิของมนุษย์ด้วยกัน คือ การละเมิดชีวิตผู้อื่น
7. รับสมุดบันทึกการงาน
          ทุกคนจะได้รับสมุดการงานที่ทำไว้ตลอดชีวิต ในโลกดุนยา ผู้ใดรับบันทึกทางขวา เขาจะถูกสอบสวนอย่างสะดวกสบาย และจะกลับไปหาครอบครัวด้วยความปลื้มใจ  ผู้ใดได้รับสมุดบันทึกจากด้านหลัง เขาจะประสบความหายนะ และเข้าสู่นรก
8. ตราชั่ง
          ตราชั่ง หมายถึง ตราชั่งสำหรับผลงานความดี และความชั่ว ของบ่าวในวันกิยามะฮ์
ผลงานที่มีน้ำหนักมาก คือ คำกล่าว "ซุบฮานัลลอฮ์ วะบิฮัมดิฮ ซุบฮานัลลอฮ์ ฮิลอะซีม" อีกประการหนึ่ง คือมีมารยาทดีตามบทบัญญัติอิสลาม
9. บ่อน้ำสำหรับประชาชาตินะบีมุฮัมมัด
         ประชาชาติของท่านนะบี  จะมายังบ่อน้ำขนาดใหญ่ น้ำสีขาวยิ่งกว่านม รสหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอมยิ่งกว่าชะมดเชียง ผู้ใดได้ดื่มผู้นั้นจะไม่กระหายอีกเลย ประชาชาติของท่านนะบี จะได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้ทุกคน เว้นแต่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ ของท่านนะบี มุฮัมมัด  ขณะที่เอยู่ในโลกดุนยา และท่านจะเรียกประชาชาติของท่านมายังบ่อน้ำ ท่านสามารถจดจำประชาชาติของท่านได้ เพราะประกายรัศมีที่อยู่บนศรีษะ อันเนื่องจากการอาบน้ำละหมาด
10. อัลลอฮ์ ทรงทดสอบว่าผู้ใดศรัทธาจริง ผู้ใดกลับกลอก
          เมื่อสอบเสร็จแล้ว บรรดาผู้ปฏิเสธจะถูกลากลงนรก เหลือแต่บรรดาผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง และบรรดาผู้ที่อ้างว่าศรัทธา อัลลอฮ์ทรงทดสอบ และจำแนกบุคคลสองกลุ่มนี้ออกจากกัน โดยพระองค์ทรงเปิดเผย ให้ทั้งหมดได้เห็นส่วนหนึ่งจากตัวตนของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงก็จะกราบสุญูดต่อพระองค์ แต่บรรดพวกมุนาฟิก หน้าไหว้หลังหลอก จะไม่สามารถกราบสุญูดได้ หลังจากนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะไปยังสะพานศิรอฎ
11. ข้ามสะพานศิรอฎ
         เมื่อผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่นรกแล้ว เหลือแต่มุมิน ผู้ศรัทธา และมุนาฟิก ที่ต้องข้ามสะพาน สำหรับผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง จะข้ามได้ตามผลงานความดีที่ทำไว้ในดุนยา บางคนใช้เวลาเพียงพริบตา บางคนเหมือนสายฟ้าแลบ บางคนเหมือนสายลม บางคนเหมือนนกบิน บางคนกว่าจะข้ามได้ต้องถูกตะขอไฟเกี่ยว
          ผู้ข้ามสะพานท่านแรก ได้แก่ท่านนะบีมุฮัมมัด และประชาชาติของท่านเป็นประชาชาติแรกที่จะได้ข้ามสะพาน ซึ่งจะมีแสงสว่างส่องตามทาง ผู้ประกอบคุณงามความดี จะผ่านพ้นและเข้าสู่ประตูสวรรค์ไปได้
          สำหรับบรรดามุนาฟิก จะมีกำแพงกั้นระหว่างพวกเขากับบรรดาผู้ศรัทธา และไม่มีแสงสว่างนำทาง พวกเขาไม่สามารถข้ามสะพานไปได้ ในที่สุดจึงตกสู่นรก
12. นรก
          ผู้ปฏิเสธศรัทธา นั้นเป็นชาวนรก อาหารและเครื่องดื่มของชาวนรก ได้แก่น้ำร้อนจัดจะถูกเทลงบนหัวทะลุเข้าสู่กะเพาะทะลักออกมาทางเท้าทั้งสองข้าง และน้ำเหลืองน้ำหนองที่ไหลออกมาจากผิวหนังของชาวนรก จะเป็นอาหารของชาวนรก การทรมานสถานเบาที่สุดในนรก ได้แก่ การเอาก้อนหินไฟสองก้อน มาวางไว้ใต้อุ้งเท้า มันจะร้อนถึงสมอง ก้นบึ้งของนรกนั้นลึกมาก โยนหินลงไปเจ็ดสิบปียังไม่ถึง มุมิน(ผู้ศรัทธา)ที่ทำความชั่วร้ายแรง ชนิดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงอภัยให้นั้น เขาต้องถูกทำโทษในนรกก่อน เมือหมดโทษแล้ว จะถูกนำตัวมาเข้าสวรรค์ ผู้ปฏิเสธจะถูกลงโทษในนรกตลอดกาลไม่มีวันออกจากนรก
13. กำแพงสูงกั้นระหว่างสวรรค์ กับนรก
          เมื่อผู้ศรัทธาที่ถูกลงโทษ ได้ชดใช้โทษหมดแล้ว เขาจะถูกกักตัวไว้ที่กำแพงสูงระหว่างสวรรค์กับนรก เพื่อบอกกล่าวไม่เอาความต่อกันในสิ่งที่ตนได้ละเมิดระหว่างกัน ในช่วงที่อยู่บนโลกดุนยา
          ชาวสวรรค์ เมื่อผ่านมาแล้ว เขาต้องรอบอกกล่าวสิ่งที่ละเมิดต่อกัน ขจัดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน หลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่สวรรค์
14. สวรรค์
         สวรรค์มี 100 ชั้น แต่ละชั้นห่างกันระหว่างชั้นฟ้า และแผ่นดิน สวรรค์ชั้นที่สูงสุด คือชั้นฟิรเดาส์ เหนือสวรรค์มีบัลลังก์ของอัลลอฮ์ ในสวรรค์มีแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำที่เป็นน้ำผึ้งบริสุทธิ์ แม่นำที่เป็นสุรารสอร่อย แม่น้ำที่เป็นน้ำจืดสนิท ในสวรรค์มีต้นไม้ที่พำนักประดับประดาด้วยไข่มุก ชาวสวรรค์จะอยู่ในวัยหนุ่มสาว ไม่มีแก่ชรา ไม่มีการขับถ่าย ความโปรดปรานสูงสุดที่จะได้รับ คือ การได้เห็นพระพักต์ของพระองค์อัลลอฮ์  

          สิ่งที่กล่าวนั้น คือ อนาคตของทุกคนที่จะต้องได้พบอย่างแน่นอน จงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเราจะวางแผนให้มีชีวิตในโลกหน้าที่มั่นคงและถาวร
read more...

8/12/2553

คำฟัตวาเกี่ยวกับเรื่องการใช้เสียงกุรอานมาทำเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์

mobile ringtonr
สำนัก ข่าวอิสลามออนไลน์รายงานจากการประชุมของ The Saudi-based Islamic Jurisprudence Council, an affiliate of the Muslim World League (MWL)

โดย ในที่ประชุมได้มีการตัดสินชี้ขาด หรือออกคำฟัตวาเกี่ยวกับเรื่องการใช้เสียงกุรอานมาทำเป็นเสียงเรียกเข้าของ โทรศัพท์มือถือ หรือริงโทนว่า ไม่สามารถทำได้
โดยเกรงว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ หากเสียงดังกล่าวดังขึ้นในสถานที่ ที่ไม่เหมาะสม
คำฟัตวาดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างการประชุมครั้งที่ 19 ของสภาที่มีการขัดเลือกจากผู้เชียวชาญด้านศาสนาจากประเทศต่างๆ มีสมาชิก 70 คน
ร่วมประชุมกันที่มหานครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
จาก http://www.pinonlines.com/
read more...

ข้อชี้แจงเกี่ยวกับจดหมายลูกโซ่จากผู้ดูแลมัสยิดอันนะบาวีย์‏

ข้อชี้แจงเกี่ยวกับจดหมายลูกโซ่จากผู้ดูแลมัสยิดอันนะบาวีย์

คำถาม ฉันอยากได้คำชี้แจงเกี่ยวกับข้อความที่มีการส่งต่อผ่านโทรศัพท์มือถือซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

หมายเหตุ ในกรอบด้านล่างนี้เป็นเนื้อหาจดหมายลูกโซ่ที่ระบาดในภาษาไทย ซึ่งมีเนื้อหาเดียวกันกับที่มีการตั้งคำถามในเว็บอิสลามทูเดย์ แต่สำนวนอาจจะแตกต่างบ้างเล็กน้อย - บรรณาธิการ
จดหมายจากด่วนประเทศอาหรับซาอุดิอาราเบีย

เรื่อง      คำสั่งเสียแก่อุมมัตอิสลามทั่วโลก
อัสลามุอาลัยกุม
นี้คือคำสั่งเสียจากคนเฝ้าสุสานของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ท่านแซะฮ์อะหมัดแห่งซาอุดิอารเบีย(จดหมายนี้เดิมเป็นภาษาต่างประเทศและได้แปลเป็นภาษาไทย) ในคืนหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอ่านอัลกรุอ่านที่มากอม (สุสาน ของท่านนบีมูฮัมหมัด ซ.ล) หลังจากอ่านเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เผลอหลับไป ในขณะที่ข้าพเจ้าหลับ ข้าพเจ้าได้ฝันว่าท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล)ได้มาหาข้าพเจ้าแล้วกล่าวแก่ ข้าพเจ้าว่า ในแปดหมื่นคนที่ได้เสียชีวิตไปในสมัยนี้ไม่มีเลยคนที่เสียชีวิตที่มี   อีหม่าน
1. ภรรยาไม่ยอมฟังคำพูดสามี
2. คนรวยไม่สนใจต่อคนจน
3. ผู้คนไม่ยอมจ่ายซะกาตและไม่ยอมทำความดี
ด้วยเหตุดังกล่าว โอ้แซะฮ์อะหมัดเจ้าสมควรเตือนสติต่อคนอิสลามนี้เพื่อที่จะกระทำความดี เพราะว่าวันสิ้นโลก (กียามัต ) จะมาถึงแล้ว ซึ่งในวันนั้นเจ้าจะเห็นดวงดาวท้องฟ้าอย่างชัดเจนหลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะลงมาอยู่ใกล้ศีรษะ

คำสั่งเสียของข้าพเจ้า
1. จงซอลาวัตแด่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล)
2. จงขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ โดยทันทีทันใดในขณะที่ประตู เตาบัตยังเปิดอยู่
3. จงละหมาดเถิด ก่อนที่ท่านจะถูกละหมาด มะยัต ” (ศพ)
4. จงจ่ายซะกาต อย่าทิ้งการจ่ายซะกาต
5. จงทำฟัรดูฮัจยี ยามเมื่อเจ้ามีความสามารถ
6. จงอย่าทรยศต่อพ่อแม่ทั้งสอง
สิ่งที่ควรรู้ มีมุสลิมชาวบอมเบย์คนหนึ่ง หลังจากได้รับจดหมายได้ทำเพิ่มขึ้นอีก 20 ฉบับและได้แจกจ่ายให้กับคนอื่น หลังจากนั้นเขาได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ โดยได้รับผลกำไรอันใหญ่หลวงในการค้าขายของเขา
มีบ่าวของอัลลอฮ์อีกคนได้รับจดหมายนี้แล้วทำเป็นไม่สนใจและคิดว่าคำสั่งเสียนี้หลอกลวงปรากฏว่าไม่นานลูกเขาถึงแก่ความตาย
ท่าน เสรีค่อซาหลี ยาไวย์ ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีใหญ่แห่งเปรักโดยทางอ้อมท่านโดนไล่ออกจากตำแหน่งเพราะ เมื่อท่านได้รับคำสั่งเสียฉบับนี้ท่านได้ลืมทำเพิ่มเพื่อแจกจ่ายแก่คนอื่น แต่ท่านไม่รู้ตัวถึงความผิดพลาดนี้ต่อมาท่านได้ทำจดหมายฉบับนี้เพิ่มขึ้น ใหม่และได้ส่งต่อไปยังคนอื่น หลังจากนั้นไม่กี่วันท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีปี ค.ศ. 1997 หรือ พ.ศ 2540
ที่ ตรังกานูก็เช่นกันมีบ่าวของอัลลอฮ์คนหนึ่งเขาได้รับจดหมายฉบับนี้จากคนที่ เขาไม่รู้จักแล้วเขาก็ไม่สนใจต่อมัน เขากล่าวว่าจดหมายโกหกทั้งนั้น มีเจตนาให้คนอ่านกลัว แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ได้รับโรคที่แปลกประหลาดแสนสาหัส หลังจากได้รับรักษาที่โรงพยาบาล 3 สัปดาห์ โรคของเขาก็ยากที่จะเยียวยา โดยสุดท้ายก็นึกถึงจดหมายคำสั่งเสียที่เขายังเก็บไว้ แล้วเขาสั่งให้พิมพ์เพิ่มขึ้น 20 ฉบับ และได้แจกจ่ายให้กับคนอื่นภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วโรคที่เป็นอยู่ก็เริ่มหายเป็นปกติจนถึงปัจจุบัน   ยัง มีตัวอย่างอีกมากมายที่ได้รับจดหมายนี้แล้วไม่เชื่อต่อคำสั่งเสียและไม่ส่ง ต่อให้กับคนอื่นหรือไม่บอกแก่คนอื่นซึ้งพวกเขาเหล่านั้นได้รับภัยพิบัติหลัง จากเหตุการณ์แห่งน่ายินดีนี้ทำให้ท่านมั่นใจ อย่าลืมทำจดหมายนี้เพิ่มขึ้น 20 ฉบับ และส่งให้กับคนอื่นในเวลา 96 ช.ม หลังจากท่านได้รับแล้ว อินชาอัลลอฮ์ ท่านจะได้รับอะไรบางอย่างจากอัลลอฮ์ผู้ทรงมีความสามารถยิ่งด้วยความศรัทธา แน่นอนจะชี้นำทางชีวิตของท่านด้วยเมตตาแห่งความสุขในชีวิตอินชาอัลลอฮ์

คำเตือน หลังจากได้อ่านคำสั่งเสียนี้แล้วสมควรเขียนขึ้นหรือพิมพ์ขึ้นแล้วส่งให้กับคนอื่นจำนวน 20 ฉบับ หากท่านได้ปฏิบัติท่านจะได้รับความดีบางอย่าง หรือธุระของท่านได้รับความสำเร็จ โดยอนุญาตของอัลลอฮ์ ท่านแซะฮ์อะห์มัดได้กล่าวอีกว่า หากอันไหนที่ ข้าพเจ้ากล่าวนี้ไม่เป็นความจริง ขอให้ข้าพเจ้าตายในกุฟูร และไม่ได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือจากท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) (นาอุซุบิลละฮ์) ดังนั้นท่านสมควรเขียนหรือพิมพ์และส่งให้กับคนอื่น อินชาอัลลอฮ์ ภายใน 2 สัปดาห์ท่านจะได้รับความสุข และจงจำไว้ว่า จงทำด้วยใจบริสุทธิ์ และอย่าทำเล่น ๆ หรือปล่อยปละละเลยไม่สนใจคำสั่งเสียนี้

ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
วัสลาม

ขอให้ท่านช่วยให้คำตอบเกี่ยวกับจดหมายนี้ด้วย

คำตอบ
จดหมาย ฉบับนี้ถูกเขียนในรูปแบบการสั่งเสียและเผยแพร่แก่ผู้คนทั่วไป ซึ่งปรากฏขึ้นเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว เนื้อหาในจดหมายอาจมีความแตกต่างไปบ้างเนื่องจากเป็นจดหมายลูกโซ่ถูกส่งต่อๆ กัน ซึ่งผู้รับก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าต้นตอของจดหมายฉบับนั้นมีมาจากไหน เข้า ใจว่าจดหมายนี้อาจจะมาจากพวกศูฟีย์ ที่ยึดถือความฝันเป็นหลักฐานในการอ้างอิง โดยไม่คำนึงว่าความฝันนั้นอาจจะขัดแย้งกับตัวบทอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺหรือ ไม่ ในบางครั้งพวกเขายึดมั่นในความฝันมากกว่ายึดมั่นในตัวบทอัลกุรอานและอัซซุน นะฮฺด้วยซ้ำ
ส่วน จุดยืนของอะฮฺลุซซุนนะฮฺเกี่ยวกับความฝันนั้น คือ หากความฝันนั้นไม่ใช่ความฝันของนบีหรือเราะซูล ต้องพิจารณาดูก่อนว่ามันสอดคล้องหรือขัดแย้งกับหลักศาสนาหรือไม่ หากพบว่ามันไม่มีข้อขัดแย้งได้ก็สามารถที่จะนำมาใช้ได้ แต่ถ้าหากความฝันนั้นไปขัดแย้งกับตัวบทอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺความฝันนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ จะนำมาอ้างเป็นหลักฐานมิได้ เนื่องจากในความฝันไม่มีใครรับรองได้ว่ามันถูกต้องเสมอไป ที่สำคัญความฝันอาจจะเป็นสิ่งตักเตือนจิตใจในกรณีที่มันสอดคล้องกับหลัก ศาสนาแต่หากมันขัดแย้งกับหลักศาสนาความฝันนั้นก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน
จดหมาย ฉบับนี้เมื่อผู้รับเปิดอ่านแล้วบางคนอาจเกิดความหวาดกลัวหากไม่ปฏิบัติตามใน สิ่งที่จดหมายได้สั่งให้ทำแล้วจะเกิดความหายนะต่อตนเองและครอบครัว
จดหมาย ลักษณะเช่นนี้มิได้เพิ่งปรากฏมาใหม่แต่มันแพร่หลายเป็นเวลานานแล้ว บุคคลที่ระบุในจดหมายก็มิได้มีตัวตนที่แท้จริง ทุกอย่างเป็นการปรุงแต่งขึ้นมา ผู้ที่มีความศรัทธาที่มั่นคงจะไม่หลงเชื่อในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ทำการเผยแพร่จดหมายลูกโซ่ที่ไร้ที่มาเช่นนี้ต่อ และพวกเขาก็มิได้หวั่นเกรงภยันตรายดังที่ระบุในจดหมาย เพราะมันมิได้เกิดขึ้นจริง เว้นแต่พระประสงค์ของอัลลอฮฺ ส่วนเรื่องภาคผลหรือผลตอบแทนสำหรับผู้ที่นำจดหมายนี้ไปเผยแพร่ต่อนั้นไม่มี หลักฐานใดมายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนที่ดีงามจริง ขนาดพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเองก็มิได้มีหลักฐานว่าหากนำไปพิมพ์เผยแพร่แจก จ่ายจะได้ผลบุญอย่างนั้นอย่างนี้
ชัยคฺ อับดุลอาซิซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ อดีตมุฟตีย์ แห่งซาอุดีอาระเบีย ได้กล่าวในหนังสือรวบคำฟัตวาของท่านว่า ใน จดหมายที่เป็นคำสั่งเสียนี้มีเรื่องโกหกมดเท็จอยู่ ถึงแม้ว่าผู้ที่นำมาเผยแพร่จะสาบานต่ออัลลอฮฺเป็นพันครั้งว่ามันเป็นความ จริงก็ตาม หรือแม้ว่าเขาจะขอดุอาอ์ให้ประสบกับความหายนะ ถ้าหากเขาพูดโกหกก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ เรื่องที่กล่าวในจดหมายฉบับนั้นข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่ามันไม่เป็นความ จริงแต่อย่างใด ข้าพเจ้าขอให้อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน มวลมลาอิกะฮฺ และบรรดามุสลิม ช่วยเป็นพยานด้วยว่า คำสั่งเสียนี้เป็นการโกหกกล่าวเท็จต่อท่านนบีมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ขอให้พระองค์ทรงลงโทษผู้ที่กุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา"


สิ่งบ่งชี้ว่าจดหมายฉบับนี้เป็นเรื่องโกหก

1.      ชัยคฺอะหมัด ที่ระบุในจดหมายว่าท่านเป็นผู้ถือกุญแจมัสยิดนบี เป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จัก ดังนั้นจดหมายนี้ไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาจากแห่งใด

2.      เนื้อหา ในจดหมายที่กล่าวถึงความเสื่อมโทรมทางจริยธรรมในสังคมนั้น หนทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวที่ถูกต้องนั้น ประชาชาติมุสลิมต้องหันกลับไปยึดมั่นกับอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺอย่างมั่นคง คำสอนที่บรรจุในสองสิ่งนี้เป็นคำสอนที่สุดประเสริฐ ครอบคลุมทุกแง่มุม มีทั้งสัญญาที่ดีสำหรับผู้ศรัทธาและสัญญาไม่ดีสำหรับผู้เนรคุณ มีทั้งสิ่งที่ทำให้จิตใจหวั่นเกรง ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเป็นการเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องนำความฝันที่อุปโลกน์มาตักเตือน อีก
3.      เนื้อหา ในจดหมายนี้ที่กล่าวถึงสัญญาณวันกิยามะฮฺนั้นเป็นเรื่องพ้นญาณวิสัย (อิลมุ้ลฆ็อยบฺ) ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกล่าวอ้างขึ้นมาโดยปราศจากหลักฐาน ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
قُلْ لَا يَعْلَمُ مَنْ فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ الْغَيْبَ إِلَّا اللَّهُ وَمَا يَشْعُرُونَ أَيَّانَ يُبْعَثُونَ (النمل :65)
ความว่า จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮฺ และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ สูเราะฮฺ อันนัมลฺ อายะฮฺที่ 65
ส่วน การประทานวะหฺยูก็ได้สิ้นสุดลงหลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสียชีวิต ดังนั้นคำสอนเกี่ยวกับเรื่องสัญญาณวันกิยามะฮฺที่มีในอัลกุรอ่านและอัซซุนนะ ฮฺถือว่าเพียงพอและครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

4.      เนื้อหา ในจดหมายนี้มีความแตกต่างกัน บางฉบับเขียนว่าเป็นการฝัน บางฉบับเขียนว่าเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้านอนในขณะที่รู้สึกตัว บางฉบับเขียนว่าจากผู้ดูแลมัสยิดอันนะบาวีย์ บางที่ก็เขียนว่าผู้ดูแลสุสานของท่านนบี บางฉบับก็เขียนว่าจากผู้ถือกุญแจมัสยิดอัลหะรอม ตลอดจนมีความขัดแย้งในการกำหนดผลตอบแทนสำหรับผู้นำจดหมายไปเผยแพร่ต่อยังผู้ อื่น สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ชัดถึงความมดเท็จในจดหมายฉบับนี้

วัลลอฮุอะอฺลัม (อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรอบรู้ดี)
ขอความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมหมัดของเรา


เขียนโดย ดร.สุลัยมาน บิน มุหัมหมัด อัดดุบัยคีย์ อาจารย์วิทยาลัยครูแห่งหาอิล
ถอดความโดย อันวา สะอุ (เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008)
ที่มา  http://www.islamtoday.net/questions/show_question_content.cfm?id=119017
read more...

โทษของผู้ที่ทิ้งละหมาด‏

โทษของผู้ที่ทิ้งละหมาด

ใครก็ตามที่ละทิ้งละหมายโดยเจตนา เขาจะถูกสาปแช่ง ในคัมภีร์เตารอต อิลญีล อัล กุรอาน และเซาบูร อัลเลาะห็จะกริ้วเขา 1000 ครั้ง และจะถูกสาปแช่ง 1000 ครั้ง ในทุกๆคืน เขาจะไม่มีส่วนใดๆเลยจากความเมตตาของอัลเลาะห์ เขาจะอยู่พร้อมกับมุนาฟิกในชั้นที่ต่ำสุดของนรก เขาจะได้รับการลงโทษ 26 เท่า เขาจะปรากฏตัวในวันกิยามะ ด้วยสภาพ ที่มือทั้งสองของเขาถูกพันกับคอของเขา มาลาอิกะห์จะทุบตีเขา ในนรกญาฮันนัม เขาจะเข้าสู่ประตูนรกดังลูกธนู
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ทิ้งละหมาดยกอาหารคำนึงเข้าปาก อาหารคำนั้นจะสาปแช่งโอ้ศัตรูของอัลเลาะห์ เจ้ากินริสกีของอัลเลาะห์ แต่เจ้าไม่ปฏิบัติฟัรดูของอัลเลาะห์ใครก็ตามที่ละทิ้งละหมาด เขาจะถูกลงโทษ 15 อย่างด้วยกัน

6
ประการในดุนยา 3 ประการขณะตาย 3 ประการในกุโบร 3ประการออกจากกุโบร

6
ประการในดุนยา
1.
อัลเลาะห์จะถอดความสิริมงคลออกจากอายุไข
2.
อัลเลาะห์จะไม่ให้ใบหน้าของเขามีรัศมี
3.
อัลเลาะห์จะไม่ให้ผลบุญกับเขาในการกระทำความดีของเขาเลย
4.
อัลเลาห์จะไม่ให้เกียรติและจะไม่รับดุอาของเขา
5.
บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกดุนยา จะร่วมกันสาปแช่ง และโกรธเขา
6.
เขาจะไม่ได้รับดุอาใดๆเลยจากบุคคลที่เป็นคนดี


3
ประการ ในขณะตาย
1.
เขาจะตายในสภาพที่ทุเรศ อุบาถ
2.
เขาจะตายในสภาพที่หิวโหย
3.
เขาจะตายในสภาพที่กระหายน้ำ ถึงแม้ว่าจะให้ดื่มน้ำทั้งหมดในโลกดุนยาก็ยังคงกระหายอยู่


3
ประการในกุโบร
1.
เขาจะโดนหลุม บีบรัด จนกระทั่งกระดูกซี่โครงทั้งสองข้างประสานกัน
2.
ไฟจะลุกบนตัวของเขาทั้งกลางวันและกลางคืน
3
จะมีคำสั่งจากอัลเลาะห์ให้มีงูที่ชื่อ อัซซุญา อักรอ ตาของมันเหมือนกับไฟ เล็บของมันแข็งเเรงอย่างเหล็ก ความยาวของเล็บเท่ากับ ระยะเดินทาง 100 วัน และมันจะกล่าวกับเขาผู้นั้นว่า ข้าคือ อัซซุญา อักรอเสียงของมันดุจฟ้าผ่าอย่างแรง พระเจ้า ได้ใช้ข้าให้มาทุบตีเจ้า
เพราะว่าเจ้าทิ้งละหมาดมันจะทุบตี เขาเพราะเขาทิ้งละหมาดซุบฮิ ไปจนดุหริ
และมันจะตีจากดุหริ ไปอัสริ และจากอัสริไป มัฆริบ จากมัฆริบไปอีซา และจากอีซา
ไปซุบฮิ และทุกครั้งที่มันตี มนุษย์จะจมลงไปลึกถึง 70 ศอก และมันจะใช้เล็บของมันแงะขึ้นมา เขาจะถูกตีอย่างนี้ จนถึงวันกิยามะห์


3
ประการในวันกิยามะห์
1.
เขาจะโดนลากไปสู่นรกญาฮันนัม โดยคว่ำหน้าลงกับพื้น
2.
อัลเลาะห์จะมองเขาด้วยสายตาที่โกรธในเวลาที่พิพากษา ใบหน้าของเขาจะหลุดร่วงลงมา
3.
อัลเลาะห์จะสอบสวนเขาอย่างเข้มงวดในเวลาที่ยาวนานและจะสั่งให้เขาลงสู่นรก
และคนใดที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนา เพียงเวลาเดียว ชื่อของเขาจะไปอยู่ที่ประตูนรก และเขาต้องเข้าสู่นรกสถานเดียว
read more...

เมื่อวันหนึ่ง

เมื่อวันหนึ่ง

 วันแห่งการฟื้นคืนชีพมาถึง
 เราคงรู้สึกอยากแก้ไขอะไรหลายๆอย่างในชีวิตที่ผ่านมา
 เรื่องราวในอดีตที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกสนาน
 แต่มันกลับขมขื่นยิ่ง ณ วันนั้น
 วันที่เราเดินควงแขนกับต่างเพศทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน วันนั้นที่เรามีความสุขเหลือเกิน ใจสองเราอยู่ใกล้ชิดกัน
 วันที่เราละเลยไม่ใส่ใจกับเวลาของการละหมาด
 จนเวลาล่วงเลยผ่านมา เราก็ยังทำเป็นเฉยชา
 วันที่หูของเราเคล้าแต่เสียงเพลง
 มากกว่าที่มันจะฟังเสียงกุรอ่าน
 วันที่ปากของเรากัดกินเนื้อพี่น้องที่ตายไปแล้ว มากกว่าที่จะเปล่งคำพูดเพื่อตักเตือนกัน
 วันที่สองมือของเราถูกขยับเพื่อใช้แช็ทกับเพื่อนข้ามคืนอย่างไร้สาระ มากกว่าที่มันจะถูกหยิบจับเพื่อการบริจาค
 วันที่นิ้วของเราถูกใช้เพื่อกดเบอร์โทรศัพท์หาใครบางคน มากกว่าที่มันจะขยับลูกตัสเบี๊ยะ
 วันที่น้ำตาของเราถูกหลั่งเพื่อดูบทพระเอกพร่ำกับนางเอกก่อนตายมากกว่าที่มันจะถูกหลั่งเพื่อการเกรงกลัวอัลลอฮฺ
 วันที่สองเท้าของเราย่ำเข้าไปในโรงหนังทุกอาทิตย์ มากกว่าที่มันจะถูกย่ำไปมัสยิดทุกเวลา
 วันนี้ของเรา ยังไม่ถึงวันนั้น
วันที่ท่านจะไม่พูดอะไร นอกจากเท้าของท่าน มือของท่าน จะเป็นผู้ตอบเอง
ท่านยังมีเวลาที่จะกลับตัว เตาบัต
 แก้ไขในวันข้างหน้าให้อยู่บนเส้นทางที่เที่ยงธรรม
อย่าหลอกตัวเอง ว่าอีกนาน กว่าความตายจะมาถึง อย่าหลับตา โดยที่ไม่นึกถึงเลยว่า พรุ่งนี้ท่านอาจจะไม่ตื่น
 
อย่าทำเป็นรู้ดี ว่าตอนนี้ฉันทำบุญมากมายเพียงพอแล้ว
 อย่าปิดหู หากมีคนมาบอกท่านว่า เพื่อนของท่านนั้นถึงแก่อะญั้ลแล้ว
 อย่าเดินผ่านกุโบร์ โดยที่ท่านไม่เหลียวมองมันเลยว่า
 วันหนึ่งฉันก็ต้องอยู่ในนั้น
 วันแห่งการฟื้นคืนชีพ ใกล้มาถึงแล้ว
 โลกใบกลมเบี้ยวๆใบนี้ แก่มากแล้ว เหนื่อยมากแล้ว
 อีกไม่นานก็ต้องดับสูญ
 แต่มนุษย์ยังคงต้องตื่นอีกครา
 เพื่อเรียกมาสอบสวนและให้ผลตอบแทนในสิ่งที่กระทำไว้บนดุนยา
 เป็นวันซึ่งไม่มีใครช่วยเหลือใครได้เลย......


'และจงเกรงกลัววันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใด
และการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ
การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร
และผู้ที่ทำผิดทั้งหลายจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ
'


อัลบากอเราะฮฺ : 123

ข้อความนี้มาจากมีคนส่งเมลมาให้ มีความเห็นว่ามีความสำคัญต่อพี่น้องมุสลิมทุกคน
จึงนำมาเผยแพร่เพื่อเตือนสติตัวเองและพี่น้องร่วมศรัทธา
read more...

การใช้คำที่หมายถึง มัสยิด-มักกะห์-มูฮัมหมัด

As Received...
من الآن....
เดี๋ยวนี้เลย....



จงใช้คำ Masjid แทนคำ Mosque
ในทุกข้อความหรือบทความที่คุณเขียน

เพื่อนๆที่รักทุกคน ...ขอได้โปรดสังเกตความหมายเหล่านี้ครับ

หนึ่ง มัสยิด ในภาษาอังกฤษเรียกว่า MOSQUE
ซึ่งแปลว่า บ้านของยุง หรือ รังยุง
ฉะนั้นจำเป็นต้องใช้คำ Masjid แทน

สอง มักกะฮฺ จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า MECCA
ซึ่งมันแปลว่า บ้านหรือห้องสุรา
ฉะนั้นเราจำเป็นต้องใช้ คำ MAKKAH แทน


สาม ถ้าเราจะเขียนชื่อท่านนบี จงอย่าใช้แบบสั้นๆ โดยเขียนว่า Mohdเพราะมันจะหมายถึง หมาที่มีปากกว้าง
ฉะนั้น จำเป็นต้องเขียนให้เต็ม คือ MUHAMMAD
(ขอ ความสันติ ความสูงส่ง จงมีแด่ท่าน )
read more...

5/29/2553

วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ

วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»
ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)

- สัญญาณวันกิยามะฮฺ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่

- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ
แบ่งออกเป็นสามประเภท
1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ
จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »
ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)

2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว
จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า
«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »
ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)

3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก
สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ
จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)

1. การปรากฏตัวของดัจญาล
ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด
จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : «هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»
ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)

- ฟิตนะฮฺของดัจญาล
การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์

- คุณลักษณะของดัจญาล
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ»
ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)
- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว
จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า
« ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً»
ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)
- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้
จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ»
ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)
จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า
«وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصى»ْ
ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)

- สาวกของดัจญาล
สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ»
ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)

- การป้องการภัยจากดัจญาล
ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ
«مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ»
ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”
وفي لفظ : «فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ»
อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม

2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม
หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน
จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا»، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ «وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا» (النساء/159)
ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..
«وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا»
ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)
(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)

3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์
ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย

1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
«حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ»
ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)

2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า
«إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ»
ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)
หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย

4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ
การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น

7. ควันไฟ
«فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ»
ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ»
ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)

8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้
«يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ»
ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)
จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า
«إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً»
ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)

9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)
การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
«وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ»
ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)
จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ»
ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)

10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์
ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม
ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا»
ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)
สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ
จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า
«أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ»
ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)

สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้

1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً»
ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)

2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)

3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)

Source : Fwd mail
read more...

อีหม่านอ่อน : โรคระบาดอันดับหนึ่ง

อีหม่านอ่อน : โรคระบาดอันดับหนึ่ง

สมรภูมิที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่ใช่สมรภูมิที่ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกัน แต่เป็นการรบกับอารมณ์ฝ่ายต่ำของเขาเองหรือที่รู้จักกันโดยมุสลิมทั่วไปว่า "ฮาวา นัฟซู" ประกอบไปด้วยความปรารถนา กิเลส ตัณหาต่างๆ การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญใหญ่หลวง เพราะต้องเดิมพันกันด้วยสถานะชีวิตของคนๆนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมีผู้เรียกสมรภูมิครั้งนี้ว่า "ญิฮาด อักบัร" หรือญิฮาดใหญ่
ญิฮาด อักบัร เป็นการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นที่ซ่อนอยู่ภายในตัวมนุษย์เอง ด้วยลักษณะของศัตรูที่ซ่อนเร้นและอยู่ใกล้ชิดอย่างที่สุด เป็นผลให้การต่อสู้มักจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของมนุษย์
ความเข้าใจเบื้องต้นต่อกระบวนการต่อสู้กับ "ฮาวา นัฟซู" ในอิสลามก็คือ มันไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆให้หมดไป แต่ต้องการเข้าไปควมคุมมันไว้และสั่งการมันได้ จึงไม่แปลกที่กระบวนการต่อสู้ไม่ได้มุ่งไปที่ "การทำลาย" แต่มุ่งไปที่ "การสยบและควบคุม"

เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะจัดการตัวตนภายในก็คือ "หัวใจ" เพราะหัวใจคือ "ศูนย์รวม" ในการกำหนดทิศทาง เจตนารมณ์ต่างๆ หัวใจในที่นี้ไม่ใช่หัวใจที่เรารู้จักกันทางกายภาพ แต่มันหมายถึงหน่วยหลักในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้น หัวใจจำเป็นต้องได้รับ "พลัง" ที่อัดฉีดเข้าไปภายใน นั่นคือพลังที่เราเรียกว่า "อีหม่าน" หรือ "ศรัทธา"
อีหม่านจึงนับว่ามีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างหัวใจให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้หัวใจเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมตัวตนภายในได้ อีหม่านที่มีอยู่เพียงในระดับความคิดนั้น ไม่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนๆหนึ่งได้ อีหม่านจะต้องซึมซับเข้าสู่หัวใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่อีหม่านไม่ผ่านเข้าไปสู่หัวใจก็จะเกิดภาวะ "อีหม่านอ่อน" ขึ้น หรือเราจะเรียกได้ว่าเป็นโรคอีหม่านอ่อนหรือ โรคหัวใจแข็งกระด้าง

ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((إنَّ اْلإِيْمَانَ لَيَخْلُقُ فِيْ جَوْفِ أَحَدِكُمْ كَمَا يَخْلُقُ الْثَوْبُ فَأَسْأَلُوْا اللهَ أَنْ يُجَدِّدَ اْلإِيْمَانَ فِيْ قُلُوْبِكُمْ))
แท้จริงอีหม่านในหัวใจของพวกท่านคนหนึ่งคนใดจะทรุดโทรม เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่จนเสื่อมสภาพ ดังนั้น พวกท่านจงขอต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พระองค์ทำให้อีหม่านมีสภาพใหม่อยู่ในหัวใจของพวกท่าน [1]

((مَا مِنَ الْقُلُوْبِ قَلْبٌ إِلاَّ وَلَهُ سَحَابَةٌ كَسَحَابِةِ الْقَمَرِ ، بَيْنَا الْقَمَرُ مُضِيءٌ إِذْ عَلَتْهُ سَحَابَةٌ فَأَظْلَمَ ، إِذْ تَجَلَّتْ عَنْهُ فَأَضَا))
ไม่มีหัวใจดวงใด เว้นเสียแต่จะมีเมฆ(ที่จะมาบดบังมัน) เช่นเดียวกับเมฆ(ที่บดบัง)ดวงจันทร์ ขณะที่มันส่องแสงนั้น เมื่อมีเมฆมาบดบังมันๆก็จะมืดมิด เมื่อเมฆจากไป มันก็จะส่องสว่างอีกครา [2]
หลักการพื้นฐานที่สำคัญในการทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับอีหม่านอ่อนและกรอบความคิดในการบำบัดมันคือต้องรู้ว่าอีหม่าน(ความศรัทธา)ในทัศนะของอิสลามนั้นสามารถ "เพิ่ม" หรือ "ลด" ได้ สิ่งนี้เป็นหลักการมูลฐานในหลักยึดมั่นของ "อะหฺลุซ ซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ" อันเป็นกระแสหลักของประชาชาติอิสลามส่วนใหญ่ที่ยอมรับกัน

อะหฺลุซ ซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮฺ นั้นถือว่าอีหม่านคือสิ่งที่กล่าวออกมาด้วยวาจา ยึดมั่นด้วยหัวใจ และมีการกระทำผ่านหลักปฏิบัติอิสลามต่างๆ อีหม่านสามารถ "เพิ่ม" ได้ด้วยการฏออะฮฺ(เชื่อฟังปฏิบัติตามหลักการอิสลาม)และ "ลด" ลงได้จากการฝ่าฝืน(หลักการอิสลาม) ดังมีหลักฐานที่แสดงไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในอัล กุรอานไว้หลายที่ ดังตัวอย่างเช่น

((لِيَزْدَادُوا إِيمَانًا مَعَ إِيمَانِهِمْ))
เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธาให้กับการศรัทธาของพวกเขา[3]

มีข้อคิดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้จากคำกล่าวของชาวสลัฟบางคนที่ว่า "ส่วนหนึ่งจากความเข้าใจในศาสนาของบ่าวคนหนึ่ง(ก็คือ) การให้ความสนใจต่ออีหม่านว่ามันลดไปได้อย่างไร? และส่วนหนึ่งจากความเข้าใจในศาสนาของบ่าวคนหนึ่ง (ก็คือ) การที่เขารู้ว่าตอนนี้มันเพิ่มหรือลด?ส่วนหนึ่งจากความเข้าใจของบ่าวคนหนึ่ง(ก็คือ) การรู้ถึงการล่อลวงของชัยฏอนเมื่อมันมายังเขา"

ต่อไปเราจะมาศึกษาอาการ สาเหตุ และนำไปสู่การบำบัดรักษาจนหายขาด อินชาอัลลอฮฺ

1. วิเคราะห์อาการอีหม่านอ่อน
อาการอีหม่านปรากฏทั้งภายในและภายนอก ปรากฏทั้งส่วนบุคคลและส่งผลร้ายต่อสังคม ผลกระทบของอีหม่านอ่อนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้าน(พร้อมตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้

ด้านที่หนึ่ง : วิเคราะห์อาการจากพฤติกรรมทั่วไป
1. กระทำบาปและสิ่งต้องห้ามต่างๆ
2.ทำอิบาดะฮฺอย่างลวกๆ
3. เกียจคร้านในการทำความดีทั้งหลาย
4. มองไม่เห็นค่าของความดีเล็กๆน้อยๆ และไม่เห็นอันตรายของความผิดเล็กน้อย
5. เอาแต่พูด แต่ไม่ค่อยกระทำ

ด้านที่สอง : วิเคราะห์อาการจากความรู้สึกภายใน
6. ยึดความรู้สึกตนเป็นใหญ่
7.หัวใจแข็งกระด้าง
8. อ่านอัล กุรอานอย่างไร้ความรู้สึก
9. รำลึกถึงอัลลอฮฺ แต่รู้สึกเฉย ๆ
10. คับแค้นใจ อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้า
11. ไม่รู้สึกโกรธ เมื่อมีการละเมิดในสิ่งที่อัลลอฮฺห้าม
12. กลัวทุกข์ภัยและปัญหาต่างๆที่ต้องประสบ

ด้านที่สาม: วิเคราะห์อาการจากความกระหายใคร่อยากต่าง ๆ
13. รักในชื่อเสียงและความโด่งดัง ตัวอย่างเช่น
13.1 กระหายตำแหน่งผู้นำ แข่งขันกันแสวงหาอำนาจ
13.2 เผด็จการในวงสนทนา คือชอบพูดข้างเดียว ไม่ชอบฟังคนอื่นพูด
13.3 ชอบให้ผู้คนยกย่อง ไม่พอใจหากไม่ได้รับคำเยินยอ
14. ตระหนี่ถี่เหนียว และมีความโลภ
15.หมกมุ่นกับโลกนี้
16. ใช้ชีวิตอย่างสำราญ

ด้านที่สี่: วิเคราะห์อาการจากความสัมพันธ์ทางสังคม
17. ไม่สนใจในกิจการของมุสลิม
18. มีความสุขกับความทุกข์ของพี่น้อง
19. ชอบทะเลาะถกเถียงกัน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาที่ไม่สำคัญ
20. ชอบแบ่งเป็นฝักฝ่าย จนเกิดความแตกแยกระหว่างพี่น้องมุสลิม
21. ขาดสำนึกในการทำงานอิสลาม
เราสังเกตจากทั้ง 4 ด้าน จะพบว่าอีหม่านอ่อนไม่ได้เป็นเรื่อง "อ่อนๆ" แต่เป็นเรื่อง "หนักหนา" เพราะไม่ได้มีปัญหาพฤติกรรมส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังได้เข้าทำลายโครงสร้างพื้นฐานของสังคมอีกด้วย

2. สาเหตุหลัก
อีหม่านอ่อนมี "เหตุ" มาจากหลายด้าน ด้านหลัก ๆ ของมัน ประกอบไปด้วย
หนึ่ง - สัมผัส , สอง - ห่างไกล , สาม - หมกมุ่น ดังต่อไปนี้

หนึ่ง - สัมผัส
1. สัมผัสอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยบาป เช่น อยู่ในวงคอนเสริต์คาราบาว หรือนั่งดูมิวสิควิดีโอวง Girly Berry

สอง - ห่างไกล
1. ห่าง ไกลจากผู้คนแห่งอีหม่าน คือการไม่คบหากับคนดี ๆ
2. ห่างไกลจากการแสวงหาความรู้ เช่น ปี ๆ หนึ่งแทบจะไม่เคยฟังบรรยายธรรมเลย แม้แต่วันศุกร์ ก็ไปตอนเขากำลังจะละหมาดแล้ว

สาม - หมกมุ่น
1. หมกมุ่นอายุของชีวิต คือ คิดว่าตัวเองจะมีอายุอยู่ยืนนาน วางแผนจะหาแต่ความสุขในดุนยา ไม่คิดจะตายในเร็ว ๆ นี้
2. หมกมุ่นอยู่กับโลกนี้ เช่น ทรัพย์สิน การหาเงินทอง การแข่งขันกันเรื่องลูกหลาน
3. หมกมุ่นอยู่กับเพศตรงข้าม เช่น เรื่องการมีแฟน การหมดเวลาไปกับการสร้างเสน่ห์แก่เพศตรงข้าม

3. วิธีบำบัดขั้นพื้นฐาน
การบำบัดพื้นฐาน ต้องเข้าไปแก้ไข "เหตุ" หลัก ๆ ของมันทั้งสามด้าน ดังนั้นการบำบัดพื้นฐานก็ประกอบไปด้วย 3 ด้านเช่นกัน คือ
หนึ่ง - แยกทาง , สอง - ใกล้ชิด, สาม - รำลึก
แยกทาง 1. แยกทางกับสิ่งแวดล้อมที่บาป คือตัดขาดกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายต่าง ๆ กล่าวง่าย ๆ ต้อง "ฏอลาก"(หย่า) เอาแบบหย่า 3 เลยยิ่งดี
ใกล้ชิด
1. ใกล้ชิดกับผู้คนแห่งอีหม่าน คือหันมาคบหาสมาคมกับคนดี ๆ เข้าร่วมกลุ่มคนทำงานอิสลามด้วยยิ่งดีใหญ่
2. ใกล้ชิดกับความรู้อิสลาม เช่น หาที่เรียนอิสลามเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ตามที่องค์กรต่าง ๆจัดขึ้น
รำลึก
1. รำลึกถึงความตาย เช่น เยี่ยมผู้ป่วย เยี่ยมกุบูรฺ เป็นต้น
2. รำลึกถึงความต่ำต้อยของโลกนี้ คือการครุ่นคิดถึงชีวิตที่ไม่ยั่งยืนและไม่แน่นอนของโลกนี้
3. รำลึกถึงวันสิ้นโลก และชีวิตหลังความตาย(คำแนะนำ ศึกษาง่าย ๆ จากความหมายอัล-กุรอานในยูซอัมมา)
การบำบัดทั้งสามด้านนี้เป็นการ "แยกทาง" กับพื้นที่ที่ทำให้ติดเชื้ออีหม่านอ่อน แล้วนำตัวเองไป "ใกล้ชิด" หรืออยู่อาศัยในเขตปลอดเชื้อ และจัดระบอบความคิดใหม่ ด้วยการ "รำลึก" สิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยขจัดเชื้อที่หลงเหลืออยู่ พร้อม ๆ กับนำไปสู่การบำบัดที่ยั่งยืนต่อไป

4. วิธีบำบัดรักษาระยะยาว
การบำบัดรักษาระยะยาว คือการเสริมสร้างอีหม่านให้แข็งแกร่ง จำเป็นต้องอาศัย "กระบวนการ" ที่เอาจริงเอาจัง ในที่นี่ขอแนะนำการการฝึกอบรมที่เข้มข้นใน 3 เรื่องต่อไปนี้

4.1 ให้หัวใจเข้าหาอัล-กุรอาน
ท่านอิบนุ กอยยิม ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับนำหัวใจกลับสู่อัล-กุรอานเอาไว้ว่า
"มีพื้นฐาน 2 ข้อ(ในการรักษาอาการอีหม่านอ่อน)ที่ขาดเสียมิได้ หนึ่งก็คือให้ท่านเคลื่อนหัวใจของท่านจากที่พำนักในโลกนี้ และให้มันไปสถิตอยู่ในที่พำนักแห่งโลกหน้า หลังจากนั้นให้นำหัวใจของท่านทั้งหมดจดจ่ออยู่กับความหมายอัล กุรอานและความกระจ่างในนั้น เพ่งพินิจและสร้างความเข้าใจในความมุ่งหมายของมัน ว่ามันถูกประทานมาเพื่อเป้าหมายอันใด นำตัวท่านเข้าไปมีส่วนร่วมในทุก ๆ อายะฮฺ แล้วกำหนดมันให้เป็นยาเพื่อบำบัดหัวใจของท่าน เมื่ออายะฮฺนี้ได้ถูกนำไปเป็นยาบำบัดหัวใจของท่านแล้ว หัวใจของท่านก็จะปราศจากโรคร้าย ด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ "

การบำบัดของอัล-กุรอานนั้น ต้องนำหัวใจไปอยู่กับความหมายที่ลึกซึ้งของมัน ท่านนบีเคยใคร่ครวญความหมายในอัล กุรอาน โดยท่านได้อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะที่กำลังยืนขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน(ละหมาดกิยามุล ลัยลฺ)
ท่านอบูบักรเป็นผู้ชายที่นุ่มนวล มีจิตใจที่อ่อนโยน เมื่อท่านนำผู้คนละหมาด และอ่านดำรัสของอัลลอฮฺจากอัล กุรอาน ท่านไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการร้องไห้ได้
แน่นอนที่สุด บรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีนั้น อ่านอัล กุรอาน เพ่งพิจารณาเนื้อหาในนั้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขา ...

อัล กุรอานนั้น เป็นยาบำบัดที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ดังที่อัลลอฮฺได้ยืนยันไว้ว่า
((وَنُنَزِّلُ مِنَ الْقُرْآنِ مَا هُوَ شِفَاءٌ وَرَحْمَةٌ لِلْمُؤْمِنِينَ))
และเราได้ให้ส่วนหนึ่งจากอัล กุรอานลงมาซึ่งเป็นการบำบัดและความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา[4]

4.2 ให้หัวใจผูกพันกับอัลลอฮฺ
ท่าน อิบนุ กอยยิม ได้กล่าวว่า "ในหัวใจที่แข็งกระด้าง ไม่สามารถทำให้อ่อนโยนได้อีก เว้นแต่ด้วยการซิกรฺ ฉะนั้น บ่าวคนหนึ่งที่ต้องการเยียวยาอาการหัวใจแข็งกระด้างก็ให้ใช้การซิกรฺเถิด

ชายคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านฮะซัน อัล บัศรียฺว่า 'โอ้ อบูสะอีด ฉันมาร้องทุกข์กับท่านเรื่องหัวใจที่แข็งกระด้างของฉัน' ท่านตอบว่า 'จงทำให้มันอ่อนด้วยการซิกรฺเถิด' เพราะว่าหัวใจที่ยิ่งเพิกเฉยเท่าไร ก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อมีการซิกรฺ หัวใจดวงนั้นก็อ่อนโยน เสมือนกับการเทตะกั่วลงไปในไฟ ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ทำให้หัวใจอ่อนโยนเท่ากับการซิกรฺ และการซิกรฺนั้นเป็นการบำบัดและเป็นยารักษาหัวใจ การเพิกเฉยต่อมันเป็นโรค ยาและการรักษามันก็คือการซิกรฺ
ท่านมะฮูลได้กล่าวว่า 'ซิกรฺ – การรำลึกถึงอัลลอฮฺ - นั้นเป็นการเยียวยา ส่วนการรำลึกถึงผู้คนนั้นเป็นโรค'" (อ้างจากอัล วาบิล อัศ เศาะยิบ และเราะฟิอฺ อัล กะลิม อัฏ ฏอยยิบ 142)

ชาวสลัฟบางคนได้กล่าวว่า "เมื่อซิกรฺสามารถเข้าไปฝังรากอยู่ในหัวใจแล้ว ถ้าชัยฏอนเข้ามาเมื่อใดเขาก็สามารถเอาชนะมันได้ ดังที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำให้ชัยฏอนที่เข้าใกล้เขาพ่ายแพ้ไป จากนั้นบรรดาชัยฏอนทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันรอบๆรอบตัวชัยฏอนตนนั้น พวกมันกล่าวว่า 'เกิดอะไรขึ้นกับเขา?' มีเสียงกล่าวขึ้นมาว่า 'มันได้รับอันตรายจากมนุษย์!'" (คัดจากมะดาริจญฺ อัส ซาลิกีน 2/424)

ซิกรฺมีคุณประโยชน์มากมาย ดังปรากฏทั้งในอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ รวมทั้งคำแนะนำมากมายของเหล่าอุละมาอ์ชั้นนำของโลกมุสลิม กล่าวได้ว่า ไม่มีคนใดที่ต้องการความสุขแห่งชีวิต ไม่มีใครต้องการหัวใจที่นิ่งสงบ โดยปราศจากการซิกรฺได้
อัลลอฮฺได้ยืนยันถึง หัวใจที่ "มุฏมะอินนะฮฺ"(สุขสงบ) ก็ด้วยการ "ซิกรฺ" เท่านั้น
((أَلاَ بِذِكْرِ اللَّهِ تَطْمَئِنُّ الْقُلُوبُ))
พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ [5]

4.3 เติมเต็มเวลาด้วยความดี
พฤติกรรมของผู้ที่มีอีหม่านที่สมบูรณ์นั้น คือการบูรณาการชีวิตทั้งหมดสู่ระบอบอิสลาม ดังนั้น ผู้ที่มีอีหม่านจึงนำความดีจากคำสอนอิสลามเติมเต็มลงสู่เวลาอย่างไม่มีช่องว่าง

การเติมเต็มดังกล่าวจึงต้องมีหลักการและศิลปะ ซึ่งอิสลามได้วางเรื่องนี้ไว้ 6 ประการ

1) เร่งรีบ – การทำความดี ไม่ควร "ตั้งท่า"มาก[6] และไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((‏التُّؤَدَةُ ‏ ‏فِي كُلِّ شَيْءٍ إِلَّا فِي عَمَلِ الْآخِرَةِ))
การไม่ผลีผลามอยู่ในทุกสิ่ง ยกเว้นในการงานเกี่ยวกับวันอาคิเราะฮฺ(ให้รีบเร่งในการทำความดี)[7]

2) เกาะติด – ทำต่อเนื่อง แม้ว่าจะน้อยก็ตาม
มีรายงานว่า
((‏ سُئِلَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏أَيُّ الْأَعْمَالِ أَحَبُّ إِلَى اللَّهِ قَالَ ‏ ‏أَدْوَمُهَا وَإِنْ قَلَّ))
เมื่อท่านนบีฯ ถูกถามว่า "การงานใดที่อัลลอฮฺรักมากที่สุด?" ท่านตอบว่า "สิ่งที่กระทำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะน้อยก็ตาม"[8]

3) ทุ่มเท – ทำอย่างสุดกำลังกาย กำลังใจ อัลลอฮฺได้ตรัสไว้เกี่ยวกับการทุ่มเทของบรรดาวะลียฺ(บ่าวที่พระองค์รัก)ในการกระทำอิบาดะฮฺไว้หลายๆที่ เช่น
((‏ كَانُوا قَلِيلًا مِنَ اللَّيْلِ مَا يَهْجَعُونَ وَبِالْأَسْحَارِ هُمْ يَسْتَغْفِرُونَ))
พวกเขาเคยหลับนอนแต่เพียงส่วนน้อยของเวลากลางคืน และในยามรุ่งสางพวกเขาขออภัยโทษ(ต่อพระองค์)[9]

4) ผ่อนคลาย – ต้องเรียนรู้ศิลปะการผ่อนกำลังจะทำให้รู้สึกดีและไม่อ่อนล้า
ท่านนบีฯ กล่าวว่า
((‏ إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ وَلَنْ ‏ ‏يُشَادَّ ‏ ‏الدِّينَ أَحَدٌ إِلَّا ‏ ‏غَلَبَهُ ‏فَسَدِّدُوا ‏ ‏وَقَارِبُوا))
แท้จริง ศาสนานั้นง่ายดาย จะไม่มีใครสามารถปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนักหน่วงได้โดยไม่ลดหย่อน เว้นแต่ศาสนาจะชนะเขา(เขาไม่สามารถจะทำได้) ดังนั้นจงแสวงหาแนวทางที่ถูกต้อง และจงอยู่ในทางสายกลาง[10]

5) ชดเชย – หากพลาดไป ต้องหาทางชดเชย เพื่อไม่ให้เสียนิสัย
ท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า
((‏ مَنْ نَامَ عَنْ ‏ ‏حِزْبِهِ ‏أَوْ عَنْ شَيْءٍ مِنْهُ فَقَرَأَهُ فِيمَا بَيْنَ صَلَاةِ الْفَجْرِ وَصَلَاةِ الظُّهْرِ كُتِبَ لَهُ كَأَنَّمَا قَرَأَهُ مِنْ اللَّيْلِ))
ใครก็ตามที่นอนหลับไป โดยลืมบางส่วนของอัล กุรอานที่เคยอ่านตอนกลางคืนหรือส่วนหนึ่งจากอัล กุรอาน ต่อจากนั้นเขาได้อ่านมันระหว่างละหมาดฟัจญฺ(ศุบฮฺ) และละหมาดซุฮรฺ ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา เสมือนกับที่เขาได้อ่านมันในยามค่ำคืน[11]

6) หวังการตอบรับ – จิตมุ่งตรงสู่อัลลอฮฺ, ไม่โอหัง, หวั่นเกรงว่าอัลลอฮฺจะไม่รับ
รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวว่า
((‏ سَأَلْتُ رَسُولَ اللَّهِ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏عَنْ هَذِهِ الْآيَةِ وَالَّذِينَ يُؤْتُونَ مَا آتَوْا وَقُلُوبُهُمْ وَجِلَةٌ ‏قَالَتْ ‏‏عَائِشَةُ‏ ‏أَهُمْ الَّذِينَ يَشْرَبُونَ الْخَمْرَ وَيَسْرِقُونَ قَالَ لاَ يَا بِنْتَ ‏‏الصِّدِّيقِ ‏وَلَكِنَّهُمْ ‏ ‏الَّذِينَ يَصُومُونَ وَيُصَلُّونَ وَيَتَصَدَّقُونَ وَهُمْ يَخَافُونَ أَنْ لَا يُقْبَلَ مِنْهُمْ أُولَئِكَ الَّذِينَ يُسَارِعُونَ فِي الْخَيْرَاتِ))
ฉันได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮฺเกี่ยวกับอายะฮฺที่ว่า และบรรดาผู้ที่บริจาคสิ่งที่พวกเขาได้มาโดยที่จิตใจของเขาเปี่ยมได้ด้วยความหวั่นเกรง(อัล กุรอาน23:60) โดยถามว่า 'พวกเขาคือผู้ที่ดื่มสุราและลักขโมยหรือ?' ท่านเราะซูลตอบว่า 'ไม่ โอ้บุตรสาวของ อัศ ศิดดีกฺ แต่ว่าพวกเขาถือศีลอด ละหมาด และบริจาคทาน แต่ว่าพวกเขากลัวว่าการงานพวกเขาจะไม่ถูกรับ ชนเหล่านั้นคือผู้ที่รีบเร่งในการประกอบความดีทั้งหลาย(อัล กุรอาน23:61)[12]
หวังว่า คำแนะนำที่กล่าวมาทั้งหมดพอจะเป็นแนวทางให้พวกเรานำไปสู่การบำบัดรักษาโรค "อีหม่านอ่อน" ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป อินชาอัลลอฮฺ

Source : Fwd mail
read more...